MILKKIZZ*

วันศุกร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2553

5 สูตรดูแลผิวจาก "เกลือ"

เกลือ...เค็ม แต่ดี

ไม่ใช่โฆษณาขายสินค้าใดๆ แต่เกร็ดสุขภาพฉบับนี้มีเคล็ดลับเพื่อความงามจากเครื ่องปรุงในครัวอย่าง "เกลือ" มาฝากหนุ่มๆ สาวๆ ผู้รักผิวพรรณ ดังนี้ค่ะ

1. ลดรอยช้ำรอบดวงตา ด้วยวิธีง่ายๆ


โดยผสมเกลือ 1 ช้อนชาในน้ำร้อน 1/2 ถ้วย ใช้ผ้าหรือสำลีชุบน้ำเกลือ ปิดตาไว้สัก 5-10 นาที รอยช้ำรอบดวงตาจะค่อยๆ จางลง


2. ลดความมันบนใบหน้า


โดยเริ่มจากใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำร้อนพอหมาดมาอังปิดหน้า ไว้สัก 3-5 นาที เพื่อช่วยเปิดรูขุมขนก่อน แล้วจึงค่อยใช้เกลือ 1 ช้อนชา ผสมน้ำ ใส่ขวดสเปรย์ฉีดพ่นน้ำผสมเกลือให้ทั่วใบหน้า จากนั้นก็ใช้ผ้าขนหนูเช็ดหน้าให้แห้ง


3. เพิ่มความชุ่มชื่นให้ผิวพรรณ


โดยใช้เกลือ 1/2 ถ้วยผสมลงในอ่างอาบน้ำ แช่ตัวประมาณ 15-20 นาที จากนั้นเช็ดตัวให้แห้ง แล้วทาโลชั่นให้ทั่วร่างกาย เกลือจะช่วยให้ผิวชุ่มชื้นยิ่งขึ้น


4. ขัดผิวให้สวยใส


โดยใช้เกลือผงถูตัว แล้วใช้ฟองน้ำหรือผ้าขนหนูขัดตัวให้ทั่ว จะช่วยให้เซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วหลุดออกมา ขณะเดียวกันก็กระตุ้นการไหลเวียนของเลือดในร่างกายด้ วย


5. ผ่อนคลายอาการเมื่อยล้าที่เท้า


โดยผสมเกลือประมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะลงในน้ำอุ่น แล้วแช่เท้าทั้งสองข้าง ช่วยให้รู้สึกคลายความเมื่อยล้าได้


แล้วต่อไปหากคุณจะมีขวด "เกลือ" สักขวดไว้บนโต๊ะเครื่องแป้งคงไม่ผิดแล้วล่ะค่ะ

ที่มา http://variety.teenee.com/foodforbrain/2775.html

สูตรดูแลผิวหน้า ดูแลผิวหน้า 7 วิธีทำให้หน้าเด็ก

ใคร ๆ ก็อยากเป็นสาวผิวใสไร้ริ้วรอยและความหมองคล้ำ แต่วัยที่มากขึ้นรวมทั้งมลภาวะรอบกาย อาจทำให้ผิวค่อย ๆ เหี่ยว แบบไม่รู้ตัว...มาเริ่มต้นดูแลผิว เพื่อรักษาความสดใสของผิวกันดีกว่าค่ะ

เด็ก

1. ใช้ครีมกันแดดเป็นประจำ

ไม่ว่าจะฤดูกาลไหน ครีมกันแดด เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยปกป้องผิวจากภัยแดดที่ขึ้นชื่อว่า >b?เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ผิวเหี่ยวย่น การทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวันจึงเป็นเสมือนการสร้างเกราะคุ้มกันให้กับผิว หน้า ถ้าไม่ได้ไปเผชิญกับแดดแรง ๆ เลือกครีมกันแดดที่มีค่า>B?

SPF 15 ก็พอค่ะ และในช่วงกลางวันที่แดดจ้า หลบแดดได้จะเป็นวิธีปกป้องผิวที่ดีที่สุด หรือถ้าต้องไปรับไอแดดกันจริง ๆ ควรสวมหมวกปีกกว้าง สวมแว่นกันแดด และใส่เสื้อผ้าโทนสีเข้ม เนื้อหนา ที่สามารถป้องกันการทะลุทะลวงของรังสี UV ทั้ง UVA ที่เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผิวคล้ำและมีริ้วรอย และ UVB ที่ทำให้ผิวไหม้เกรียม



2. อย่ารบกวนผิวมากเกินไป

การรบกวนผิวมากไป ไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพผิวแต่อย่างใดการล้างหน้าบ่อยเกินไป หรือขัดถูเช็ดผิวหน้าอย่างรุนแรงเพื่อให้มั่นใจ ว่าสะอาดเพียงพอ กลับเป็นการทำร้ายผิวแบบไม่รู้ตัว เพราะอาจทำให้ผิวมีริ้วรอยและหยาบกร้านได้โดยเฉพาะคนที่ผิวแห้ง การล้างหน้าต้องทำอย่างนุ่มนวลเช็ดผิวอย่างเบามือ เพื่อป้องกันริ้วรอยก่อนวัยนอกจากนี้ควรเลือกใช้ผลิตภัณท์ที่อ่อนโยนต่อผิว ด้วย




3. เลือกใช้ผลิตภัณท์ที่มีส่วนผสมของ AHA

AHA หรือ Alpha hydroxy acid มีคุณสมบัติช่วยผลัดเซลล์ผิวให้ขาวขึ้นแล้ว ยังช่วยรักษาริ้วรอยจากแสงแดดได้ด้วยซี่งปัจจุบัน เครื่องสำอางส่วนใหญ่ จะมีส่วนผสมของ AHAในปริมาณ 2-15 % ซึ่งมักไม่เป็นอันตรายกับผิว แต่อย่างไรก็ตาม ก็ควรเลี่ยงที่จะไปตากแดดแรง ๆ เพราะการใช้ AHAจะทำให้ผิวหน้าไวต่อแดดมากขึ้นดังนั้นเพื่อป้องกันการแพ้ ควรใช้ครีมกันแดดร่วมด้วยเสมอ




4. ลดริ้วรอยบาง ๆ ใต้ตาด้วยเรตินอล

เมื่ออายุมากขึ้น ริ้วรอยใต้ตา อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความร่วงโรยของผิวได้ โดยเฉพาะผิวใต้ตา ซึ่งค่อนข้างบอบบาง


จึงเกิดริ้วรอยได้ง่าย หากทิ้งไว้ ก็กลายเป็นรอยตีนกาได้คงถึงเวลาที่คุณจะต้องหาผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของเรติ นอล ซึ่งมีคุณสมบัติลดเลือนริ้วรอยจางๆ ได้ดี นอกจากนี้เรตินอลยังช่วยกระตุ้นการเสริมสร้างคอลลาเจน ทำใหผิวหน้าเต่งตึงขึ้นได้



5. อาหารต่อต้านริ้วรอย

ผู้เชี่ยวชาญท่านได้ศึกษาพบว่า อาหารที่อุดมไปด้วยผลไม้,ผัก และไขมันต่ำ จะช่วยให้ผิวพรรณของเราแข็งแรงพอที่จะต่อต้านสิ่งที่จะมาทำลายผิวให้อ่อนแอ จนเป็นสาเหตุให้เกิดริ้วรอยได้ ค่ะ โดยเฉพาะแสงแดดภัยตัวฉกาจของการทำให้เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าของหญิง สาวค่ะชนิดของอาหารที่แนะนำให้รับประทานก็คือ อาหารที่มีไขมันต่ำลดการรับประทานเนื้อแดงและของหวานลง นอกจากนี้ก็ควรเพิ่มการรับประทานผักใบเขียว, ผลไม้ เมล็ดถั่วต่างๆ, น้ำมันมะกอกที่เป็นไขมันไม่อิ่มตัว รวมทั้งเมล็ดธัญพืชต่างๆค่ะซึ่งอาหารดังกล่าวจะอุดมไปด้วยวิตามินที่มีฤทธิ์ ต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินเอและซี และอี จะช่วยให้ผิวของคุณแข็งแรงและปกป้องผิวไม่ให้ถูกทำลายจากสิ่งแวดล้อมภายนอก ได้




6. เว้นอาหารที่ทำลายผิวพรรณ

ไขมันอิ่มตัวในเบคอน ไส้กรอก ไอศกรีม และเนยสด กระบวนการเผาผลาญอาหารเหล่านี้ จะเกิดอนุมูลสารอิสระสูง ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เซลล์ของร่างกายเหี่ยวย่น และเสื่อมโทรม ส่วนอาหารที่มีน้ำตาลมากเกินไป มีผลขัดขวางกระบวนการสร้างคอลลาเจนของเซลล์ผิว ทำให้ผิวหย่อนยาน



เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน คาเฟอีนจะดูดซับความชื้นจากผิว ถ้าคุณติดกาแฟจนยากที่จะเลิก เมื่อคุณดื่มกาแฟ 1 แก้ว ก็ควรดื่มน้ำเปล่าแก้วโต ๆ ตามไป 1 แก้วเช่นกัน เพื่อป้องกันไม่ร่างกายขาดน้ำ และผิวพรรณขาดความชุ่มชื้นไปด้วย เครื่องดื่มแอลกฮอล์ เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผิวพรรณ ขาดความเปล่งปลั่ง ถ้าคุณเป็นนักดื่ม ทุกครั้งที่ดื่มแอลกฮอล์ อย่าลืมดื่มน้ำเปล่าแก้วโต 2 แก้ว เพื่อชดเชยไม่ให้ร่างกายสูญเสียน้ำ และช่วยป้องกันไมให้ผิวขาดความชุ่มชื้น



7. ใช้ชีวิตอย่างสมดุล

สาวบ้างานทั้งหลาย มีสิทธิ์ผิวหย่อนยาน ไม่สดใส ได้เร็วขึ้นเพราะการทำงานหนัก ชนิดอดหลับอดนอน หรือไม่มีเวลาสำหรับพักผ่อน นอกจากร่างกายจะอ่อนล้าแล้ว ผิวพรรณก็หมองคล้ำ ทำให้คุณดูทั้งโทรมทั้งเหี่ยวเชียวล่ะ แม้อยากเป็นดาวรุ่งมากแค่ไหน ก็ควรจัดเวลางานและเวลาส่วนตัวให้สมดุลมีเวลาสำหรับการออกกำลังกาย และได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ซึ่งจะช่วยให้เซลล์ผิวแข็งเรง ไม่หย่อนยานก่อนวัยหากปล่อยให้ความเครียดสุมหัว จนไม่มีเวลาคลายเครียด นานวันเข้า ผิวพรรณก็ร่วงโรย จนเกินเยียวยา เครื่องสำอางมหัศจรรย์ที่ว่าแน่ๆ ก็ไม่อาจจะช่วยฉุดรั้งความสดใส และความเปล่งปลั่งของผิวสาวกลับคืนมาได้หรอกค่ะ


ที่มา http://www.konmun.com/Variety/7-id5285.aspx

6 วิธีดูแลผิวให้นุ่มเนียนและกระชับ

เรามาลองวิธีที่ทำให้ สวย เด้ง ตึง ได้ทุกสัดส่วนง่ายๆ ดังนี้

1. ลอก
การลอกผิวจะกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว และยังช่วยสลายไขมัน
คุณสามารถจะลอกผิวได้ง่ายๆ ด้วยตัวเอง โดยนำเกลือทะเลผสมน้ำมันมะกอกมานวดขัดผิว โดยเฉพาะบริเวณผิวที่มีเซลลูไลต์ จากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาด

2. ขัด
การขัดผิวเบาๆ โดยใช้แปรงนุ่มๆ หรือใยบวบที่แช่น้ำให้นิ่ม จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตให้ทำงานอย่างสม่ำเสมอ
ทั่วถึง และยังช่วยขัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกได้หมดจด เวลาที่เหมาะที่สุดในการขัด คือขณะฟอกสบู่ อาบน้ำ

3. ห่อ
หมั่นนำพลาสติกใสๆ บางๆ มาพันต้นขาให้กระชับเพรียวสวย
โดยเริ่มจากลงไปแช่น้ำอุ่น จากนั้นเช็ดตัวให้แห้ง นำผ้าขนหนูจุ่มน้ำร้อนที่ผสมน้ำมันหอม (กลิ่นมะนาวหรือโรสแมรี่) บิดให้แห้งพอหมาดแล้วนำมาพันต้นขา จากนั้นจึงพันด้วยแผ่นฟิล์มแล้วทิ้งไว้ประมาณครึ่งชั่วโมง

4. ดัน
เป็นการบริหารที่ควรทำทุกวันเพื่อให้ช่วงอกสวย
ประกบฝ่ามือทั้งสองไว้กลางหว่างอก (เหมือนการไหว้) เกร็งและดันฝ่ามือทั้งสองซึ่งกันและกัน ค้างไว้ 10 นาที แล้วทำซ้ำ 5 ครั้ง

5. กลิ้ง
การนวดโดยใช้ลูกกลิ้ง กลิ้งไปบนผิว จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตมาเลี้ยงผิวได้ดีขึ้น
ทั้งนี้ควรจะนวดหมุนเป็นวงกลม เริ่มจากขา แขน แล้วปิดท้ายด้วยบริเวณ ช่วงลำตัว

6. ดึง
ใครที่มีไขมันสะสมใต้ผิวหนังตรงสะโพก หรือแก้มก้นมากเกินไป
อาจลดได้ด้วยวิธีใช้นิ้วชี้กับนิ้วหัวแม่มือดึงผิวหนังให้ทั่วทั้งบริเวณสะโพก หมั่นทำเป็นประจำ วันละ 10 นาที ผิวแตกลายจะจางลง


ที่มา http://www.tlcthai.com/webboard/view_topic.php?table_id=1&cate_id=35&post_id=21332

วิธีดูแลผมสวย สุขภาพดี ด้วย 8 วิธี

ผมสวย

สาว ๆ ที่มีผมแห้งชี้ฟูคงจะหนักใจไม่น้อย เวลาที่เดินไปไหนมาไหนแล้วผมปลิวไปตามลมแต่ดันไม่ยอมทิ้งตัวกลับสู่สภาพเดิม ซะอย่างนั้น เฮ้อ.. งานนี้จะทำยังไงดีล่ะเนี่ย อุตส่าห์ใช้ยาสระผมสูตรผมนุ่มก็แล้ว ใช้ทรีทเม้นท์ก็แล้ว ก็ยังไม่มีวี่แววว่าผมจะมีน้ำหนักเสียที

อะ ๆ วันนี้กระปุกดอทคอมก็เลยมีวิธีง่าย ๆ มาฝาก อาจจะต้องทำอะไรหลายอย่างหน่อยก็ต้องยอมแล้วนะคะ เพื่อผมสวยสุขภาพดีของคุณนั่นแหละ เอ้า.. ว่าแล้วก็ไปดูกันดีกว่า

1. ใช้เซรั่มทุกครั้งหลังสระผม เพราะเซรั่มเป็นอาหารผมที่เข้มข้นที่สุดในบรรดาผลิตภัณฑ์บำรุงผมต่าง ๆ ดังนั้น ก็เลยเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยล่ะค่ะ โดยคุณอาจจะปรึกษาช่างผมก่อนที่จะเลือกใช้ ว่าเซรั่มตัวไหนดีต่อสภาพผมคุณมากที่สุด ทั้งนี้ก็เพื่อให้คุณได้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ถูกกับผมนั่นเองค่ะ

2. ใช้คอนดิชันเนอร์แบบลีฟอิน ซึ่งเป็นคอนดิชันเนอร์ที่ดีต่อผมคุณมาก ๆ เลยล่ะค่ะ อย่างในปัจจุบันนี้ก็มีคอนดิชันเนอร์ลีฟอินหลายชนิดให้เลือกใช้กัน ไม่ว่าจะเป็นแบบสเปรย์หรือว่าโลชั่น ใช้ควบคู่ไปกับเซรั่มจะดีที่สุดนะคะ

3. สระผมด้วยน้ำเย็น ในบางสูตรอาจจะบอกว่าควรสระผมด้วยน้ำอุ่น แต่อ๊ะ ๆ อยากจะบอกเหลือเกินค่ะว่าน้ำอุ่นนั่นแหละเป็นตัวทำให้ผมคุณแห้งมากขึ้นเยอะ เลยทีเดียว ดังนั้นหลังจากที่คุณสระผมและหมักผมด้วยคอนดิชันเนอร์แล้ว แนะนำให้คุณล้างผมด้วยน้ำเย็นจะดีกว่า เพราะมันจะทำให้ผมของคุณยังคงความชุ่มชื้นอยู่ และแน่นอน มันทำให้ผมคุณดูมีสุขภาพดีขึ้นได้ค่ะ

4. อย่าเป่าผมด้วยการจี้ไดร์เป่าผมลงไปชิดกับผมนัก เพราะมันทำให้ผมของคุณแห้งชนิดที่เรียกว่าแห้งกรอบเลยล่ะค่ะ อีกทั้งยังทำให้ผมคุณเสีย แตกปลายได้ง่าย ๆ อีกด้วย ดังนั้นหากเป็นไปได้ ควรเป่าผมด้วยลมเย็น หรือลมอุ่น ๆ ดีกว่า ซึ่งไดร์เป่าผมแต่ละตัว สมัยนี้เค้าก็ทำให้มีทั้งลมหลายระดับให้เลือกกันอยู่แล้ว

5. ใช้สเปรย์เพิ่มความเงางามให้เส้นผม เพื่อทำให้ผมของคุณดูสุขภาพดี เงางามค่ะ อ๊ะ แต่ขอแนะนำให้เป็นสเปรย์ที่ช่วยบำรุงผมไปพร้อม ๆ กันด้วยนะคะ เพราะมันจะช่วยปกป้องผมของคุณด้วยล่ะ

6. ดื่มน้ำเยอะ ๆ น้ำนอกจากจะดีต่อสุขภาพร่างกายแล้ว คุณรู้หรือไม่ว่ามันยังดีต่อสุขภาพผมของคุณอีกด้วย เพราะมันเป็นการเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผมคุณค่ะ เอ้า ดังนั้นถ้าใครอยากมีผมสวยก็ควรดื่มน้ำให้เพียงพอ คือประมาณ 6-8 แก้วต่อวันนะคะ

7. กินอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะอาหารที่มีวิตามิน A และ E จะทำให้ผมคุณมีน้ำหนักและมีสุขภาพดีขึ้นได้ นอกจากนี้ อย่าลืมทานโปรตีนเพื่อเสริมสร้างการเจริญเติบโตของเส้นผม ซึ่งอาหารประเภทโปรตีนที่ดีต่อเส้นผม ได้แก่ ไข่และถั่วค่ะ

8. หลีกเลี่ยงสารเคมีแรงจัด ไม่ว่าจะเป็นการดัด ย้อม ทำสี ยืด รวมถึงการใช้ความร้อนสะสมทุกวัน ๆ ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ทำลายสุขภาพผมคุณทั้งนั้นค่ะ อ้อ สารเคมีแรงจัดนี้รวมไปถึงผลิตภัณฑ์ที่มีแอลกอฮอล์ด้วยนะคะ ตัวบั่นทอนสุขภาพผมสวยของคุณตัวดีเลยทีเดียว

อย่างไรก็ดี การมีสุขภาพผมที่ดีและมีน้ำหนักนั้น คุณจำเป็นต้องปฏิบัติไปพร้อม ๆ กันทั้ง 8 ข้อเลยนะคะ ฮั่นแน่ ดูเหมือนจะยุ่งยากวุ่นวายใช่มั้ยล่ะ แต่หากลองทำดูจริง ๆ แล้ว จะพบว่าไม่ยากเลยค่ะ เพียงแค่คุณเจียดเวลามาดูแลเส้นผมวันละนิด เพียงเท่านี้ คุณก็จะได้เป็นเจ้าของผมสวยสุขภาพดีแล้วล่ะค่ะ


ที่มา http://variety.konmun.com/8-show1026.htm

วิธีดูแลผมให้สุขภาพดี...จนปล่อยได้ทุกเวลา



วิธี ดูแลเส้นผมตัวเองให้สลวย พร้อมปล่อยให้ยาวได้โดยไม่ชี้ฟู ทำได้ไม่ยาก และไม่ต้องถึงกับเข้าซาลอนทุกครั้งที่ต้องการสระผม เพียงแค่ให้ความสำคัญกับการบำรุงเส้นผมเพิ่มขึ้นอีกนิดเท่านั้นเอง

- ทุกเช้า หลังตื่นนอน ใช้ปลายนิ้วมือ สางผมออกอย่างอ่อนโยน ป้องกันปัญหาผมพันกัน

- ก่อนสระผม ใช้แปรงไม้แปรงผมอย่างเบามือ เพื่อให้สิ่งสกปรกที่ติดผมอยู่หลุดออก

- เลือกผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพผมที่เหมาะกับสภาพผมของคุณ หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีแรง ๆ ซึ่งอาจทำลายสมดุลของสุขภาพผมได้

- หมั่นบำรุงผมด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของมอยซ์เจอร์ไรเซอร์เข้มข้น เพื่อคืนความชุ่มชื้นที่สูญเสียไปให้แก่เส้นผม หลีกเลี่ยงการใส่ครีมนวดบริเวณโคนผม



- อย่าเกาหนังศีรษะหรือขยี้ผมแรง ๆ ระหว่างสระ ควรใช้ปลายนิ้วมือ นวดบำรุงหนังศีรษะอย่างอ่อนโยนเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด

- ผมเปียกจะอ่อนแอเป็นพิเศษ หลังสระจึงไม่ควรขยี้ผมหรือแปรงผมแรง ๆ

- หากมีเวลา ควรปล่อยให้ผมแห้งเอง หลีกเลี่ยงการไดร์ หนีบ หรือม้วนผมด้วยความร้อนสูงๆ

- วิธีแปรงผมที่ถูกต้อง ให้แบ่งผมเป็นส่วนๆ ค่อยๆ หวีผมทีละส่วนด้วยหวีไม้ซี่ห่าง หลีกเลี่ยงหวีพลาสติกที่จะทำให้เกิดไฟฟ้าสถิต เริ่มแปรงผมจากด้านในมาด้านนอก แปรงผมอย่างอ่อนโยนจากบนลงล่าง




- กินอาหารที่อุดมด้วยโปรตีน วิตามินบี 6 แมกนีเซียม สังกะสี เพื่อบำรุงเส้นผม

- หมั่นเล็มปลายผมทุก 8 – 10 สัปดาห์

- หลีกเลี่ยงการรัดผม มัดผม หรือคาดผมจนตึงแน่น

ที่มา http://women.thaiza.com/detail_54582.html

19 วิธีดูแลผมที่คุณรัก

ผมของคุณก็เหมือนหุ้นส่วนหัวใจ ถ้าผมเสียไป คนที่เสียใจคือคุณ


ผมนุ่มสลวย มีน้ำหนัก เป็นเงางาม เป็นที่ปรารถนาของผู้หญิงทุกคน แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพเส้นผมของแต่ละคน นอกจากนี้ การดูแลผมที่ผิดวิธีก็ทำให้ผมเสีย จัดทรงยาก ดูไม่มีชีวิตชีวา โดยเฉพาะผู้ที่มีผมเส้นเล็ก มักจะมีปัญหาในการจัดแต่งทรงผมยากเป็นพิเศษ จนกลายเป็นความกังวล

ต่อไปนี้คุณไม่ต้องกังวลอีกต่อไปแล้ว เพราะมีผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมชนิดต่างๆ ให้คุณเลือกมากมาย คงมีบางชนิดที่เหมาะกับลักษณะเส้นผมของคุณ นอกจากนี้ เรายังมีเคล็ด (ไม่ลับ) มากระซิบบอกคุณถึงวิธีดูแลจัดแต่งทรงผม โดยเฉพาะสำหรับผมเส้นเล็ก เพื่อคุณจะได้มีทรงผมสวยอย่างที่คุณใฝ่ฝันมานาน แล้วคุณจะตะลึงกับความสวยของคุณ หลังจากที่ได้ทดลองทำตามข้อแนะนำทุกข้อต่อไปนี้


1 ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม

ผมเส้นเล็กบาง ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของเคราติน คาราไมล์ หรือแพนทีนอล เพื่อปกป้องเส้นผมให้รอดพ้นจากการทำลายของสายลม แสงแดด และช่วยให้ผมดูหนาขึ้น


2 เปลี่ยนผมแสกข้าง

ถ้าคุณแคยแต่แสกผมอยู่ข้างเดียวมาตลอด จะทำให้ทรงผมแบนราบอยู่ด้านเดียว ทดลองเปลี่ยนผมแสกข้างมาอีกด้านหนึ่งบ้างจะทำให้ผมดูหนาและได้รูปทรงดีขึ้น ช่วยหนีความจำเจได้อีกด้วย


3 แชมพูช่วยขจัดสารเคมีที่ตกค้าง

หากใช้ยาสระผมจำพวก แคลริฟายอิง แชมพู (Clarifing Shampoo) จะทำให้ผมเส้นเล็กดูหนาและจัดทรงง่ายขึ้น คุณควรสระผมด้วย แคลริฟายอิง แชมพู อาทิตย์ละหนึ่งครั้ง เพื่อชำระล้างสารเคมีที่ตกค้างบนเส้นผม ปรับสภาพสู่สมดุลตามธรรมชาติ


4 ผมแห้ง

ไม่ควรใส่ทรีตเมนต์ขณะที่ผมยังเปียกอยู่เพราะจะไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร ให้ไดร์ผมเป็นรูปกากบาทจนเกือบแห้ง แล้วจึงนวดผมด้วยโฟมแต่งผม จากนั้นไดร์ให้แห้ง


5 ผลิตภัณฑ์ ทู อิน วัน

ไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์ประเภท ทู อิน วัน เพราะจะมีสารตกค้างติดเส้นผมทุกครั้งที่สระ จะทำให้ผมเกาะติดกันและยากต่อการจัดทรงผม


6 การฉีดสเปรย์

เมื่อทำผมเสร็จ ให้ฉีดสเปรย์จากล่างขึ้นบน สำหรับผู้ที่มีผมยาวไม่ควรฉีดสเปรย์บนศีรษะ แต่ให้ฉีดจากด้านข้างและด้านล่างขึ้นมา จะทำให้ผมได้ทรงสวย


7 ใช้ผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผมเพียงเล็กน้อย

โดยปกติ คนที่มีผมเส้นเล็กมักใช้แวกซ์ เจล หรือบาล์ม แต่จริงๆ แล้วผลิตภัณฑ์เหล่านี้ไม่เหมาะกับผมเส้นเล็ก เพราะจะทำให้ผมแข็งทื่อและหยาบ นอกจากนี้ เมื่อคุณออกไปเจอสายลม แสงแดด น้ำยาแต่งผมจะเกาะกันเป็นก้อน ลองเปลี่ยนมาใช้สเปรย์จัดแต่งทรงผมในระหว่างไดร์ผม โดยฉีดจากล่างขึ้นบนทีละช่อและไดร์ให้แห้ง ผมจะนุ่มสลวยได้รูปทรงดี


8 สระผมทุกวัน

ผมเส้นเล็กมักจะมีปัญหาผมมันเร็ว จึงควรสระผมทุกวันด้วยโวลุ่ม แชมพู (Volume Shampoo)
โดยไม่ต้องใช้ครีมนวดผม เพื่อทำให้ผมมีน้ำหนักและหนาขึ้น


9 การดูแลผมเส้นเล็กแบบง่ายๆ

โดยทั่วๆ ไป วิธีการดูแลรักษาผมเส้นเล็กบอบบางมักจะยุ่งยากโดยไม่จำเป็น ผลิตภัณฑ์พิเศษในการดูแลรักษาผมเส้นเล็กก็คือ ผลิตภัณฑ์ที่มีโวลุ่มเพียงเล็กน้อยก็ช่วยทำให้เส้นผมแข็งแรงเพียงพอ


10 ทำทรงผมให้มีชีวิตชีวา

ฉีดผมให้ชื้น จากนั้นนวดผมด้วยครีมจัดแต่งทรงผมหรือโฟมเล็กน้อย และปล่อยให้แห้งเอง


11 ทำผมให้ตัวเอง

ผู้ที่มีผมยาวและเหยียดตรง หากมัดผมให้สูงเป็นหางม้าทิ้งไว้ทั้งคืน รุ่งขึ้นคุณจะมีผมทรงใหม่อีกสไตส์หนึ่ง ประหยัดทั้งเงินและเวลาเข้าร้านทำผม


12 เครื่องไดร์ผม

การไดร์ผมอย่างถูกวิธีจะทำให้สวยได้นานหลายชั่วโมง เพราะว่ารูเล็กๆ ของเครื่องไดร์ผม จะเป่าตรงโคนผมได้ ทำให้ทรงผมอยู่ตัว


13 ผมเย็น

หลังจากที่ไดร์ผมเสร็จแล้ว ควรปล่อยให้ผมเย็นลงทุกครั้งก่อนที่จะแต่งทรงผม เพราะจะทำให้ผมดูหนาและอยู่ทรงได้นาน ไม่ทำลายสภาพผมด้วย


14 โรลม้วนผมจัมโบ้

สำหรับผู้ที่ไว้ผมยาวหรือมีความยาวระดับไหล่ ให้ไดร์ผมจนเกือบแห้ง จากนั้นฉีดโวลุ่มสเปรย์ (Volume Spray) ให้ชื้นแล้วจึงม้วนผมด้วยโรลจัมโบ้ (อย่าม้วนผมลดหลั่นกัน แต่ให้ม้วนไปรอบๆ)
จากนั้น ไดร์ผมและปล่อยให้เย็นลง ก็จะได้ผมสวยตามต้องการ


15 การทำให้ผมไม่แบนราบ

เทคนิคการตัดผมเพื่อหนุนให้ผมได้ทรงตามต้องการและแลดูหนา สำหรับผมที่ไม่มีน้ำหนักและยาวแค่คาง ให้แบ่งผมบนศีรษะและตัดผมบริเวณโคนผม สัก 2-3 ซ.ม. ให้เป็นรูปสามเหลี่ยมเล็กๆ จะช่วยให้จัดผมได้รูปทรงสวยและไม่แบนราบ


16 เทคนิคสำหรับผมสั้น

นวดผมด้วยน้ำยาจัดแต่งทรงผม แล้วจึงหนีบผมด้วยที่หนีบและไดร์ผมที่โคน จากนั้นปล่อยให้เย็นลง ดึงที่หนีบออก และเอานิ้วยีผมให้เป็นทรง


17 แปรง

ก่อนที่ผมจะแห้ง ให้ไดร์ผมโดยใช้แปรงกลม หวีเข้าด้านในบ้าง ด้านนอกบ้างสลับกันไป แล้วจึงฉีดสเปรย์


18 การไดร์ผม

ไม่ควรไดร์ผมทันทีหลังสระ แต่เช็ดผมพอหมาดด้วยผ้าขนหนูก่อน จากนั้นฉีดโวลุ่มสเปรย์ที่โคนผมแล้วจึงไดร์ผมทั้งศีรษะโดยใช้มือช่วย


19 ผมอยู่ทรง

แบ่งผมแล้วจับยกให้สูง จากนั้นฉีดสเปรย์ที่โคนผมและไดร์ให้แห้งแล้วปล่อยให้ผมเย็นลง วิธีนี้จะทำให้ผมอยู่ทรงและดูหนาขึ้น

ที่มา http://women.kapook.com/view4696.html

การดูแลผมแตกปลาย

ผมแตกปลายเกิดขึ้นเมื่อชั้นของเซลล์ของเส้นผมแตกแยกตัวออกจากกัน ไม่มีวิธีที่จะทำให้ชั้น ที่แตกแยกออกจากกันนี้กลับมาสมานสนิทได้ถาวร ครีมนวดผม (conditioner) จะทำให้เส้นผมที่ แตกปลายกลับมาสมานกันได้เพียงชั่วคราวเพียงแค่ 2-3 ชั่วโมง หรืออย่างมากก็แค่ไม่กี่วัน โดยทั่วไปเมื่อสระผมครั้งต่อไปผมก็จะแตกปลายอีก

จึงต้องใช้ครีมนวดผมอย่างสม่ำเสมอ วิธีใช้ครีมนวดผมคือใช้หลังสระผมแล้วชโลมครีมนวดผมทิ้งไว้สัก 10 นาที แล้วล้างออก หรือครีมนวดผมอีกแบบที่ใช้หลังสระผมโดยซับผมให้หมาดๆ แล้วชโลมครีมทิ้งไว้เลยโดยไม่ต้องล้างออก นอกจากนั้นหลังสระผม อย่าขยี้ผมแรงๆ ให้ใช้ผ้าขนหนูสะอาดซับผมให้แห้ง อย่าหวีผมหรือแปรงผมขณะที่ผมยังเปียกอยู่


ถ้าจะใช้เครื่องเป่าผมก็อย่าตั้งอุณหภูมิสูง เพราะจะทำลายเส้นผมทำให้ผมแตกปลายได้ง่ายขึ้น อย่าย้อมผม ดัดผม ยืดผมบ่อยเกินไปเพราะทำให้เส้นผมแตกปลายได้ง่าย โดยทั่วไปเส้นผมของคนเราหลังตัดครบ 1 เดือนจะเริ่มยาวไม่สม่ำเสมอ และมีผมแตกปลาย ดังนั้นการไปพบช่างตัดผมอย่างสม่ำเสมอก็จะช่วยให้เรือนผมดูสวยงามอยู่เสมอนะ ครับ วิธีแก้ไขผมแตกปลายที่ดีที่สุดก็คือตัดส่วนปลายผมที่แตกปลายออก ดังนั้นคนที่ไว้ผมสั้นจะมีปัญหาเรื่องผมแตกปลายน้อยกว่าคนที่ไว้ผมยาว


ส่วนอาหารวิตามินและเกลือแร่ที่ช่วยบำรุงเส้นผมให้แข็งแรง ได้แก่

ธาตุเหล็ก - พบในเนื้อสัตว์ ถั่วเหลือง ข้าวสาลี ผักขม


กลุ่มของวิตามินบี - พบในจมูกข้าว ถั่ว ไข่ ถั่วเหลือง กล้วย


กรดอะมิโน เช่น ซิสเตอีนและเม็ทไทโอนีน ซึ่งมีส่วนประกอบของกำมะถันที่ จะทำให้เซลล์ เส้นผมเชื่อมติดกันแน่น พบในถั่ว เม็ดธัญพืช ไข่ เนื้อ


สังกะสี - พบในเนยแข็ง ข้าวซ้อมมือ ปลาซาร์ดีน และขนมปังข้าวไรย์


ซีลีเนียม - พบในเนยแข็ง Cheddar กุ้ง แครอท


สำหรับวิธีการสระผมที่ถูกต้องนั้น มีขั้นตอนคือ

1. ปล่อยให้ผมสยายลงมาตามธรรมชาติขณะสระผม นั่นคือสระผมในท่ายืนสระใต้ฝักบัว หรือก้มสระในอ่างอาบน้ำ


2. ใช้น้ำอุ่นชะล้างเส้นผมก่อนที่จะลงแชมพู


3. เอาแชมพูใส่ฝ่ามือ กะปริมาณแชมพูให้พอเกิดฟองได้หมดทั้งศีรษะ


4. ฟอกเส้นผมและหนังศีรษะด้วยแชมพู เริ่มที่หนังศีรษะก่อนใช้ปลายนิ้วนวดหนังศีรษะเบาๆ อย่าเกาหนังศีรษะหรือขยี้แรงๆ


5. ใช้น้ำสะอาดล้างแชมพูออก โดยใช้นิ้วมือล้างแชมพูออกตั้งแต่โคนเส้นผมไปสู่ปลายเส้นผม ห้ามขยี้แรงๆ เพราะเส้นผมจะได้รับอันตรายจากแรงเสียดสี


สำหรับการใช้ครีมนวดผมนั้น มีขั้นตอนดังนี้

1. สระผมล้างแชมพูออกอย่างหมดจด อย่าให้มีฟองแชมพูตกค้าง


2. เทครีมนวดผมใส่ฝ่ามือ


3. ฟอกครีมนวดผมกับเส้นผม ใช้ปลายนิ้วลูบไล้ครีมนวดผมให้ทั่วเส้นผมแล้วทิ้งไว้ 1-2 นาที


4. ล้างครีมนวดผมออก โดยให้น้ำชะล้างครีมนวดผมตั้งแต่โคนไปสู่ปลายเส้นผม ห้ามขยี้เส้นผมขณะผมเปียก


สำหรับการเช็ดผมให้แห้ง มีขั้นตอนคือ

1. ใช้ผ้าขนหนูสะอาด ที่แห้งสนิท ซับเส้นผมที่เปียกน้ำ


2. ในขณะที่ผมยังชื้นอยู่ ใช้แปรงหรือหวีสางผมที่พันกันหรือยุ่งเหยิง โดยแปรงเบาๆ จากปลายเส้นผม และค่อยๆ สูงขึ้นไปสู่โคนเส้นผม


3. ใช้มูสหรือเจลตามที่ชอบ แต่อย่าใช้มากเกินไป


4. ควรปล่อยให้เส้นผมแห้งสนิทตามธรรมชาติ


5. หากมีเวลาจำกัด ไม่สามารถรอให้ผมแห้งตามธรรมชาติได้ ก็ต้องใช้เครื่องเป่าผม โดยใช้เครื่องเป่าผมเมื่อซับผมด้วยผ้าขนหนูก่อน


6. ควรใช้ความร้อนและความแรงของเครื่องเป่าที่สปีดต่ำสุด


7. การเป่าผมต้องเคลื่อนไหวไปทั่วศีรษะ อย่าจ่อเป่าให้แห้งทีละจุดๆ เพราะจะทำให้ เส้นผมและหนังศีรษะเกิดอันตราย


เส้นผมของคุณจะแลดูสวยเป็นเงางามก็ต่อเมื่อได้รับการดูแลบำรุงรักษาทุกวัน ร่วมไปกับการกินอาหารที่ดีและออกกำลังกายอย่างเหมาะสม รวมถึงพยายามลดความเครียดลงด้วย เพราะความเครียดทำให้ผมหลุดร่วงได้

ส่วนวิธีปฏิบัติเพื่อให้เส้นผมไม่แตกหักง่ายและดูเงางามอ่อนนุ่มสลวยอยู่เสมอมีดังนี้

1 หวีและแปรงผมให้น้อยลง ความเชื่อที่ว่าควรแปรงผมวันละ 100 ครั้ง นั้นเป็นความเชื่อ ที่ผิด และไม่ควรใช้หวีหรือแปรงที่มีขนแหลมคม หรือที่ทำจากโลหะหรือพลาสติก ควรใช้หวีที่ทำจากขนสัตว์ธรรมชาติ


2. ไม่ควรแปรงผมย้อนไปด้านหลังหรือยีผมแรงๆ (ควรหวีผมตามแนวเส้นผม)


3. ไม่รัดผมให้แน่นหรือถักเปียแน่นจนเกินไปนัก รวมทั้งการสวมหมวกที่คับเกินไป หรือพันผ้าคาดศีรษะจนแน่น


4. ควรใช้แชมพูอ่อนๆ สระผม หลังสระควรใช้ครีมนวดหรือครีมปรับสภาพเส้นผม และไม่ควรสระผมและเป่าผมให้แห้งบ่อยครั้งเกินไป


5. เล็มปลายเส้นผมที่แตกปลายทิ้ง


นอกจากนี้ยังพบว่าสารเคมีเป็นสาเหตุที่ทำให้ เส้นผมหักได้บ่อยที่สุด เพราะเมื่อชั้นนอกสุดของเส้นผมถูกสารเคมีอยู่เป็นประจำ ไม่ว่าจะจากยาย้อมผม ยากัดสีผม ยาดัดผม หรือยาเหยียดผม ยายืดผมตรง สารเคมีในตัวยาเหล่านี้จะทำให้เส้นผมแห้งและแข็งกระด้าง จึงควรใช้น้ำยา เหล่านี้เมื่อจำเป็นและไม่ควรใช้บ่อยครั้ง

ที่มา http://variety.teenee.com/foodforbrain/2215.html

ดูแลผม ให้ยาวเร็วขึ้น

ขั้นตอน

  1. สระผมและนวดผมให้เรียบร้อย ใช้ผ้าขนหนูค่อยๆซับผม อย่าขยี้ผมเด็ดขาด โดยเฉลี่ยแล้วผมคนเราจะยาวประมาณครึ่งนิ้วต่อเดือน
  2. ดังนั้นถ้าคุณอยากให้ผมยาวเร็วขึ้น แสกผมไว้ซัก 5- 6 แถว บีบวิตามิน อี แบบแคปซูลสำหรับทาหน้าตามรอยแสก นวดบำรุงให้ทั่วหนังศรีษะ ผมจะยาวเร็วขึ้น
  3. อย่าลืมที่จะทำทรีทเม้นท์สัปดาห์ละครั้ง เพราะมันจะทำให้คุณมีสุขภาพผมที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน

ตัวอย่างการทำทรีทเม้นท์หมักผมแบบธรรมชาติ

  1. บดกล้วยหอมผสมกับน้ำผึ้ง พอกให้ทั่วทั้งศรีษะ ทิ้งไว้ 20 นาที แล้วสระล้างออก
  2. อีกสูตรหนึ่งคือ คั้นดอกอันชัญสดกับน้ำสะอาด จนได้น้ำอันชัญสีน้ำเงินอมม่วง หมักผมทิ้งไว้ 20 นาทีอีกเช่นกัน แล้วล้างออก สูตรนี้จะทำให้ผมคุณดูดกดำเงางาม
  3. แถมอีกนิดนะคะ ถ้าคุณมีผมแห้ง ต้องการให้ผมดูเงางาม ใช้แฮร์โค้ต 2-3 หยดชโลมและนวดให้ทั่วศรีษะ แต่ถ้าคุณมีผมมัน ไม่แนะนำค่ะ เพราะแฮร์โค้ตจะทำให้ผมคุณดูมันเยิ้มยิ่งขึ้น แถมยังเป็นแม่เหล็กดูดฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกชั้นดีเชียวล่ะ
ที่มา http://sakid.com/2006/11/13/4842/

ดูแลผมสวยด้วยความลับจากธรรมชาติ

ไข่ มะนาว ขิง น้ำมันมะพร้าว น้ำมันมะกอก ช่วยได้

การสร้างเสน่ห์ให้กับตนเองด้วยการดูแลรักษาร่างกายให้สะอาด ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า เป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับคนที่รักสวยรักงาม วันนี้ Tips สุขภาพ กับ สสส. มีวิธีดูแลผม เสน่ห์อีกอย่างที่ไม่ควรมองข้ามมาฝากกันคะ

เริ่มต้นที่คนที่มีปัญหาเรื่องผมแห้ง ซึ่งคนที่มีผมแห้งมักจะมีปัญหาเรื่องการหวีจัดทรงยาก ผมไม่มีสปริงไม่มีน้ำหนักขาดชีวิตชีวา ทำให้หนังศีรษะแห้งและเกิดสะเก็ดรังแคง่าย ลองใช้น้ำมันมะพร้าวผสมกับไข่ไก่ดู สิค่ะ วิธีการทำเพียงใช้น้ำมันมะพร้าว 2 ช้อนโต๊ะตั้งไฟอ่อนผสมกับไข่ไก่ 1 ฟอง (เอาเฉพาะไข่แดง) ตีให้เข้ากัน หลังจากนั้นให้รอจนเย็นแล้วนำไปลูบให้ทั่วศีรษะ นวดด้วยปลายนิ้วให้ทั่วทั้งด้านหน้าจรดท้ายทอย โดยใช้ฝ่ามือขยำๆ ขยี้ๆ ให้ทั่วเพื่อให้ซึมเข้าสู่เส้นผม หลังจากนั้นใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กคลุมเอาไว้ หมักทิ้งไว้ประมาณ 2 ชั่วโมง หลังจากนั้นให้ล้างออกด้วยน้ำอุ่น แล้วสระด้วยแชมพูอ่อนๆ อีกครั้ง ทำเช่นนี้สัปดาห์ละ 2 ครั้ง ผมจะนุ่มดูมีน้ำหนักและจัดทรงง่ายขึ้นค่ะ

แต่สำหรับคนที่ไม่ชอบกลิ่นของไข่ไก่ให้ลองใช้สูตรน้ำมันมะกอกดู ก็ได้ค่ะ เพียงนำน้ำมันมะกอกอุ่นๆ 2-3 ช้อนโต๊ะ นำมานวดหนังศีรษะหวีและชโลมเส้นผมให้ทั่ว ซึ่งวิธีการนวดให้นวดเป็นวงกลมเล็กๆ เมื่อนวดจนทั่วศีรษะแล้วให้ใช้ผ้าขนหนูพันศีรษะทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที หลังจากนั้นให้สระด้วยแชมพูอ่อนๆ แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น วิธีนี้จะช่วยบำรุงเส้นผมให้กลับมามีสภาพดีได้เหมือนกันค่ะ

ต่อมาสำหรับคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับรังแคบนศีรษะ เพราะเมื่อไรที่รังแคมาเยือนมักจะมีอาการคันตามมาเสมอ แถมยังสร้างความอับอายขายหน้าด้วยการออกมาโชว์ให้เห็นกันอยู่เสมอๆ ลองใช้สูตรน้ำมะนาว หรือ น้ำมะกรูด กันดูสิคะ วิธีการไม่ยากค่ะเพียงคั้นน้ำมะนาวหรือน้ำมะกรูดที่ผ่านการเผาไฟแล้ว มานวดหนังศีรษะหลังสระผมทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที ให้ล้างออก เพียงแค่นี้ก็สามารถช่วยลดเจ้ารังแคออกจากศีรษะได้แล้วละคะ

สำหรับคนที่มีผมอ่อนแอหลุดร่วงง่ายลองใช้ ขิง แก้ผมร่วงดูสิคะ เชื่อได้เลยว่าใช้แล้วปัญหา หัวล้าน จะไม่มาเยือนคุณแน่นอน วิธีการง่ายๆ เพียงนำเหง้าขิงสดมาเผาไฟ ทุบให้แตกผสมน้ำนำไปขยี้ให้ทั่วศีรษะ วันละ 2 ครั้ง ประมาณ 3 วัน หรือนำขิงแก่ 1 เหง้า ขนาดเท่าฝ่ามือมาตำให้ละเอียด ห่อด้วยผ้าขาวบางเป็นลูกประคบ วางบนหม้อประคบที่ต้มน้ำจนเดือด เมื่อลูกประคบร้อนนำไปประคบบริเวณผมร่วง ทำวันละ 2 ครั้ง 20-30 นาที 3-5 วัน จะเห็นผล

ส่วนคนที่มีเส้นผมหยิกหยักศกที่สำคัญยังพบอาการแห้งและฟู ยิ่ง ถ้าทั้งหยิกและหนาด้วยแล้วล่ะก็จะทำให้ศีรษะดูโต ฟูมากยิ่งขึ้น แต่ถ้ายังชอบผมทรงนี้อยู่ไม่อยากที่จะยืดให้ตรงแล้วละก็หมั่นบำรุงดูแลรักษา ด้วยวิธีต่อไปนี้สิคะ นำน้ำกับน้ำมะนาวผสมกันให้เจือจางหลังจากนั้นนำมาชโลมผมหลังจากล้างผมน้ำสุดท้ายเรียบร้อยแล้ว ทิ้งไว้ 5 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น กรดในน้ำมะนาวจะช่วยให้ไฟเบอร์ในผมยึดเกาะกันได้แน่น ผมจะเรียบ-หวีง่ายยิ่งขึ้น ที่สำคัญจะทำให้ผมดูเงางามได้ค่ะ

ผมมันก็เป็นผมอีกแบบที่มักสร้างปัญหาตามมามากมายทั้งเป็นสะเก็ดรังแค หนังศีรษะคันง่าย การรักษาความสะอาดของเส้นผมจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะสามารถทำได้ แต่ทางที่ดีต้องบำรุงรักษาด้วยไข่ขาวผสมน้ำอุ่นดูสิคะ รับรองอาการมันจะลดลงและหมดไปในที่สุดค่ะ วิธีการคือ ใช้ไข่ขาว 1 ฟองกับน้ำอุ่น ½ แก้วตีให้เข้ากัน หลังจากนั้นนำไปราดลงบนผมเส้น ใช้มือนวดให้ทั่วศีรษะทิ้งไว้ประมาณ 8-10 นาที หลังจากนั้นให้ล้างออกด้วยน้ำอุ่นโดยไม่ต้องสระผมซ้ำ ทำอย่างนี้สัปดาห์ละ 3 ครั้ง ผมจะค่อยๆ ปรับสภาพ และหายมันค่ะ

สำหรับคนผมแตกปลาย พบมากในคนที่ชอบทำสีผม การม้วนผมหรือการดัด ตัดซอยด้วยใบมีดโกน หรือในคนที่ต้องใช้ความร้อนกับผมบ่อยๆ หรือแม้กระทั่งใช้อุปกรณ์ตกแต่งทรงผมอย่างขาดความระมัดระวังก็ตาม วันนี้หมดกังวลได้เลยค่ะ แค่ใช้ไข่ไก่ผสมกับน้ำมันงาและน้ำผึ้ง โดยใช้ไข่ไก่ (เฉพาะไข่แดง) จำนวน 2 ฟอง ผสมกับน้ำมันงา 4 ช้อนโต๊ะ และน้ำผึ้ง 2 ช้อนชา ตีผสมให้เข้ากัน หลังจากนั้นใช้น้ำอุ่นราดให้ทั่วศีรษะ แล้วค่อยๆ นำส่วนผสมที่ทำไว้เทลงไปให้ทั่วศีรษะคลุมด้วยผ้าขนหนูชุบกับน้ำอุ่นหมักทิ้ง ไว้ประมาณ 20-30 นาที แล้วสระออกด้วยแชมพูอ่อนๆ อีกครั้ง แค่นี้ผมแตกปลายก็จะเริ่มมีสุขภาพดีขึ้นแล้วละค่ะ

ผมทำสีก็ เช่นกันค่ะต้องรักษาดูแลเป็นพิเศษเพราะเป็นสภาพผมที่อ่อนแอที่สุด นอกจากมีอาการแห้งกรอบภายในเส้นผมจะมีรูพรุนอยู่ทั่วไป ที่สำคัญยังเป็นต้นเหตุของปัญหาเส้นผมทั้งผมร่วง แห้ง เสีย หากไม่อยากให้เส้นผมมีอายุการใช้งานสั้นเกินไปลองนำสูตรการดูแลเส้นผมสูตร นี้ไปใช้ดู สูตรน้ำมะนาว วิธีการทำให้นำน้ำมะนาวจำนวน 2 ผลมาคั้นเอาแต่น้ำใส่บริเวณโคนผม ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที หลังจากนั้นให้เป่าผมจนแห้ง วิธีนี้จะช่วยให้สีผมที่ทำมาชัดขึ้นแถมยังบำรุงหนังศีรษะได้ด้วยค่ะ

แต่ ทั้งนี้เพื่อให้เส้นผมอยู่กับเราไปนานๆ การเสริมสารอาหารที่จำเป็นสำหรับเส้นผมจากภายในด้วยการเลือกกินอาหารที่ช่วย บำรุงเส้นผมก็จำเป็นเช่นกันค่ะ ซึ่งอาหารที่มีเบต้าแคโรทีนสูงอย่าง ฟักทอง มะละกอ ตำลึง หรือ

แครอท เหล่านี้จะช่วยให้ผมเงางามและมีน้ำหนักขึ้นได้ แต่ควรเสริมวิตามินซีและอี ธาตุสังกะสี ธาตุเหล็ก จากอาหารจำพวกข้าวไม่ขัดขาว ข้าวสาลี ไข่ ถั่ว นม ธัญพืช ผักผลไม้ และตับ เข้าไปด้วยจะทำให้ผมดูดียิ่งขึ้นได้ ที่สำคัญควรลดการดื่มน้ำอัดลมเพราะทำให้เลือดเป็นกรดและส่งผลให้เส้นผมสูญ เสียแร่ธาตุไปในตัวได้คะ

ที่มา http://www.thaihealth.or.th/node/9309

10 กลเม็ด...ดูแลผมสวย





1. แปรงผม
ก่อนสระผมทุกครั้ง แปรงผมเพื่ออะไร ง่ายๆ ก็คือแปรงผมเพื่อขจัดสิ่งสกปรกที่ติดอยู่บนเส้นผม และสางเส้นผมที่พันกันอกก่อนที่สำคัญถ้าหวีไม่ถูกกับลักษณะของทรงผมหรือเส้นผม อาจจะกลายเป็นทำลายเส้นผมก็ได้นะคะ ควรศึกษาลักษณะของหวีให้ดีกว่า


2.สระผม
ควรใช้แชมพูและครีมนวดที่ผสมอาหารชีวภาพ เพื่อขจัดสิ่งสกปรกและบำรุงเส้นผมไปด้วยในตัว เพราะสาร
อาหารชีวภาพจะถูกดูดซึมและเข้าถึงรากและตลอดเส้นผม


3.นวดศีรษะ
นวดหนังศีรษะขณะอาบน้ำใต้ฝักบัว เพื่อกระตุ้นระบบหมุนเวียนช่วยให้มีสุขภาพที่ดีขึ้นและช่วยลดความ
เครียดใช้ปลายนิ้วนวดหนังศีระณะเบาๆ โดยเริ่มจากด้านหน้าและนวดลงไปถึงต้นคอ


4.เพิ่มความชุ่มชื่น
ชโลมคอนดิชันเนอร์เฉพาะตรงปลายผม และส่วนที่เลยปลายผมขึ้นมาครึ่งหนึ่งของความยาว (เพราะเส้น
ผมส่วนที่อยู่ใกล้หนังศีรษะน่าจะมีน้ำมันที่ให้ความชุ่มชื่นตามธรรมชาติอยู่แล้ว ) การใช้คอนดชันเนอร์ใกล้ๆ รากผมจะทำให้รู้สึกว่าเส้นผมเป็นมันเยิ้มหลังจากการสระผมไม่นาน

5.เพิ่มความเงางาม
และขจัดเส้นผมพันกัน ด้วยการใช้น้ำส้มสายชูหนึ่งช้อนโต๊ะผสมกับน้ำอุ่น 600 มิลลิลิตร แล้วราดลงบนเส้น
ผม ใช้หวีสางให้ทั่วและล้างออกด้วยน้ำอุ่น

6.ล้างด้วยน้ำเย็น
น้ำร้อนทำให้ต่อมรากผมขยายและสูญเสียน้ำมันตามธรรมชาติไป ทำให้ผิวแห้งหยาบดูไม่มีชีวิตชีวา ใช้น้ำ
เย็นล้างผมจะดีกว่า ความเย็นของน้ำจะช่วยให้ต่อมรากผมปิดตัว เส้นผมจะเงางามทั่วศีรษะ

7.ซับเบาๆ
อย่าใช้ผ้าขนหนูเช็ดผม เพราะผ้าขนหนูจะขโมยความชุ่มชื่นและทำลายความยืดหยุ่นของเส้นผม ให้ใช้
ปลายนิ้วบีบน้ำบนเส้นผมออก แล้วใช้ผ้าขนหนูซับเบาๆ วิธีนี้จะช่วยเก็บกับความชุ่มชื่นบนเส้นผมไว้ได้

8. สางผม
อย่าแปรงผมในขณะที่ผมเปียกเด็ดขาด เพราะขณะที่ผมเปียกเส้นผมจะพองใหญ่กว่าปกติสองเท่าและจะ
ทำให้ผมเสียได้ง่าย ใช้หวีซี่ห่างๆ สางผมเปียกที่แบ่งเป็นส่วนๆ โดยเริ่มสางผมจากปลายก่อน

9.ปล่อยให้แห้ง
ปล่อยให้เส้นผมแหงตามธรรมชาติ เพราะเครื่องมือแต่งผมที่ใช้ความร้อนจะทำให้แกนผมเสีย ปิดผมยาวๆ
ขึ้นไปรวบเป็นมวย เส้นผมจะเซ็ทตัวได้เองเมื่อแห้งแล้วถ้าผมสั้นก็ทาเจลแล้วหวีให้ทั่ว

10.กำราบผมตั้งชี้
เมื่อผมแห้งแล้ว ฉีดสเปรย์ลงบนหวีแล้วหวีผมให้ทั่ว วิธีนี้จะทำให้ปลายผมที่ตั้งชี้ลู่ลงไป ทำให้เส้นผมดูเงา
งาม เป็นระเบียบ และช่วยให้เส้นผมอยู่ทรงได้นานขึ้น

ที่มา http://women.mthai.com/views_Hair-Recommend_11_92_10965_1.women

วันอังคารที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ผิวสวยด้วยเทคโนโลยี

ในโลกยุคปัจจุบันมีปัจจัยรุกรานมากมายที่ส่งผลเสียต่อผิวอย่าง หลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป ซึ่งหากต้องการคงไว้ซึ่งความสวยให้ผิวอย่างเป็นธรรมชาติและปลอดภัย จำเป็นต้องได้ปรนนิบัติและใส่ใจผิวพรรณอย่างใกล้ชิด

เพราะลำพังเพียงแค่ออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อน ใช้ครีมบำรุงให้เหมาะแก่สภาพผิวย่อมไม่เพียงพอ จำเป็นต้องอาศัยเทคโนโลยี เพื่อความงามสมัยใหม่เข้าช่วยอีกทาง ทว่าต้องอยู่ภายใต้การดูแลจากผู้เชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิด

พญ.พรหมพักตร์ คณาสวัสดิ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านการรักษาดูแลผิวพรรณที่มีประสบการณ์มายาวนานนับ 10 ปี กล่าวว่า ในปัจจุบันนี้ผู้คนทั้งหญิงและชายใส่ใจในเรื่องนวัตกรรมการดูแลผิวพรรณมาก ขึ้นโดยเฉพาะเทคโนโลยีที่ต้องการผลลัพธ์ชัดเจนและเห็นผลเร็ว ต่างจากสมัยก่อนซึ่งเป็นยุคของครีมบำรุงผิว

"วันนี้นวัตกรรมเทคโนโลยีในโลกของความงามในการบำรุงผิวพรรณของคน ไทยนั้นได้แบ่งออกเป็น 4 ประเภทหลักๆ ด้วยกัน คือ เทคโนโลยีด้านการรักษาฝ้า-กระ เทคโนโลยีด้านการรักษาริ้วรอยแห่งวัย เทคโนโลยีด้านการรักษาสิว-สิวหลุม เทคโนโลยีด้านการกระชับสัดส่วนและเซลล์ลูไลต์ของผิวหนัง โดยแต่ละเทคโนโลยีนอกจากจะให้ผลเร็วแล้ว ผิวยังคงสภาพนานวันอีกด้วย แต่ทั้งนี้ก็ต้องได้รับการดูแลจากผู้เชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิดและถูกวิธีเช่น กัน" พญ. พรหมพักตร์ กล่าว

ทั้งนี้ผู้เชี่ยวชาญยังได้ฝากถึงวัยรุ่นถึงหลักการดูแลผิวพรรณแบบง่ายๆ และประหยัดว่า ควรยึดหลัก สวยแบบพอเพียง คือดูที่ความจำเป็นในการรักษา ราคาที่เหมาะสม ถ้าไม่จำเป็นหรือฟุ่มเฟือย เช่น น้องที่จบการศึกษาการรักษาสิวถ้าเป็นอุปสรรคในการสมัครงานก็ควรรักษา โดยปรึกษาแพทย์ แล้วเลือกวิธีการรักษาที่ได้ผลดีที่เหมาะสมกับค่าใช้จ่ายของตนเอง แต่ไม่ควรซื้อยากินเองเพราะอาจไม่ตรงจุดหรือทำให้เกิดแผลเป็น ค่าใช้จ่ายอาจบานปลายได้


ที่มา http://women.sanook.com/ผิวสวยด้วยเทคโนโลยี-853547.html

หน้าแบบนี้ แว่นแบบไหนดี?

ดวงตาเป็นสิ่งสำคัญที่เราควรจะดูแลใส่ใจ การเลือกแว่นก็ไม่ควรจะมองข้ามนะคะ เลือกแว่นไม่เข้ากับใบหน้า อยู่ดีๆ ก็อาจจะกลายเป็นป้าอย่างไม่รู้ตัว

สำหรับเอนทรี่นี้มีวิธีเลือกแว่นให้เข้ากับใบหน้าแต่คนมาฝากกันค่ะ


ข้อแรก ห้ามใส่แว่นที่มีรูปทรงคล้ายกับรูปหน้าคุณเด็ดขาดในทางตรงข้ามสิ่งที่คุณ ต้องทำคือ เลือกแว่นที่ขัดแย้งกับรูปหน้าของคุณ เพื่อปรับให้ภาพรวมของรูปหน้าดูสมดุลและพอดีกัน

• ใบหน้ารูปกลม ห้ามใส่แว่นกลมเพราะจะยิ่งเพิ่มความกลมของใบหน้าให้ชัดขึ้นอีก แว่นทรงใหญ่สามารถใส่ได้ แต่ต้องเลือกเชฟเหลี่ยมหรือแบบวงรีที่มีส่วนหนึ่งตัดเป็นเหลี่ยม

• ใบหน้ารูปไข่ เป็นความโชคดีของคนรูปหน้าเรียวจริงๆ ใส่แว่นตากันแดดออกมาดูสวยกับทุกทรง

• ใบหน้าเหลี่ยม หลักเลี่ยงแว่นเหลี่ยมไว้เลย ควรเลือกแว่นที่มี curve สวยๆ เพื่อนำมาเบรกความเหลี่ยมของรูปหน้า

• ใบหน้ายาว รูปหน้านี้มีความใกล้เคียงกับรูปหน้าเรียว แต่อาจมีปัญหาที่หน้าผากโหนกสูงหรือมีคางยื่น แว่นที่เหมาะกับคนรูปหน้านี้ ควรจะเป็นแว่นขนาดใหญ่ที่สุดกว่าทุกรูปหน้าที่กล่าวมาก่อนหน้านี้ เพื่อลดพื้นที่หน้าลง ช่วยปรับเสปซหน้าให้พอดี แต่จะเลือกใส่เป็นเชฟไหนก็ได้ ทรงเหลี่ยม ทรงกลม ทรงเชิด ได้หมดค่ะ

"คนไทยควร เลือกแว่นตากันแดดเมื่อพอใส่แล้วเห็นคิ้วขึ้นมานิดนึง อย่าปล่อยให้เฟรมบดบังคิ้วหมด เพราะจะทำให้หน้าดูสั้นมาก ควรใส่แว่นที่เผยให้เห็นคิ้วบ้าง จะเห็นแค่หางคิ้วหรือหัวคิ้วนิดนึงก็ได้"


ที่มา http://women.sanook.com/หน้าแบบนี้ แว่นแบบไหนดี-925847.html

เทคนิคง่ายๆลดริ้วรอยผิวแตกลาย

ริ้วรอย และผิวแตกลาย มักเป็นปัญหาใหญ่กวนใจหลายคน โดยเฉพาะสาวๆ ที่รักสวยรักงาม ชอบแต่งตัวจะมีปัญหามากเวลาที่ต้องโชว์ผิวเช่น บริเวณห้องท้อง ต้นขา แต่ต่อจากนี้ไป สาวๆ ก็ไม่ต้องกังวลกับปัญหาดังกล่าวอีกแล้ว เพราะเรานำเทคนิคง่ายๆ ที่ช่วยลดริ้วรอย และผิวแตกลายมาบอกกันค่ะ...


ก่อนอื่นเรามาดูสาเหตุของการเกิดก่อนนะค่ะ ริ้วรอย ผิวแตกลาย อาจเกิดขึ้นมาจากการคลอดบุตรหรือการลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว และโดยเฉพาะกับสาวๆ ที่อายุยังน้อยแล้วเกิดปัญหาหน้าท้อง น่อง สะโพกลาย ทั้งนี้ วิธีทำง่ายๆ คือ ให้ใช้วุ้นสีขาวจากว่านหางจระเข้ ซึ่งล้างยางออกแล้วมาทาบริเวณรอยแตกลายเป็นประจำทุกเช้า- เย็น ผิวที่แตกลาย หรือริ้วรอยต่างๆ ก็จะค่อยๆ จางลง

หากไม่มีว่านหางจระเข้ เราก็สามารถใช้ใบบัวบกแทน โดยการนำมาตำคั้นเอาแต่น้ำ นำมาทาบริเวณรอยแตกลายเป็นประจำทุกเช้า- เย็น ผิวที่แตกลายจะค่อยๆ จางลงได้เช่นกันคราวนี้สาวๆ ก็สามารถอวดผิวสวยได้อย่างมั่นใจ ไร้กังวล...สาวๆ คนไหน มีปัญหาดังกล่าวก็อย่าลืมนำเทคนิคที่เราแนะนำไปใช้นะคะ


ที่มา http://women.sanook.com/เทคนิคง่ายๆลดริ้วรอยผิวแตกลาย2-925904.html

เคล็ดลับผิวสวยใสจากข้างใน

อยากให้ผิวสวยจากข้างในไม่ใช่เรื่องยาก การควบคุมอาหารบางชนิด เสริมวิตามินบางอย่างก็ช่วยคุณได้แล้วค่ะ

- ลดน้ำตาลและอาหารที่ทำจากแป้ง เพราะของพวกนี้จะทำให้เส้นใยคอลลาเจนเสื่อมสภาพ จนถึงขั้นทำให้ผิวดูหม่นหมองและเกิดริ้วรอยได้

- ถ้าคุณเป็นคนผิวแห้งหรือมีสิวได้ง่าย ก็ควรกินอาหารที่มีกรดโอเมก้า-3 เยอะๆ (พบมากในน้ำมันปลา) เพราะกรดไขมันตัวนี้จะช่วยสร้างชั้นปกป้องขึ้นมาช่วยต่อสู้กับความแห้งและแบคทีเรียได้

- กินวิตามินซีให้พอเพียง
ไม่ว่าจะจากอาหารหรือในรูป วิตามินเสริม เพราะวิตามินซีมีบทบาทในการซ่อมแซมเซลล์ผิวที่ได้รับความเสียหาย จึงช่วยให้ผิวหน้าไม่เสี่ยงต่อการมีจุดด่างดำหรือริ้วรอย

ที่มา http://women.sanook.com/เคล็ดลับผิวสวยใสจากข้างใน1-925935.html

วันอาทิตย์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2553

พลาสติกชีวภาพย่อยสลายได้

พลาสติกชีวภาพย่อยสลายได้ (วารสารตลาดสีเขียว)

โดย ไผ่พิม

ในโลกยุคนี้คงต้องยอมรับว่าพลาสติกเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตของคนเราอย่างยากที่จะหลีกเลี่ยงแม้แต่ความสวยงามแห่งธรรมชาติก็ยังมีดอกไม้พลาสติกมาลอกเลียนแบบได้

จากการเสวนา "ตายผ่อนส่ง... จากวิถีการกิน และสารเคมี สู่อาหารปลอดภัยเกษตรอินทรีย์"ดร.สุนีย์ เตชะอาภรณ์กุบ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ได้บอกเล่าถึงโทษภัยจากภาชนะใส่อาหารที่ทำจากพลาสติกประเภทต่าง ๆ โดยเฉพาะถ้วยจานชามเมลามีนที่คนไทยเรานิยมใช้แต่แฝงไว้ด้วยสารพิษ ถ้านำมาใส่อาหารร้อนก็จะละลายฟอร์มาลดีไฮด์ (น้ำยาฟอร์มาลินที่ใช้ดองศพ) หากปนเปื้อนในปริมาณมากมีพิษเฉียบพลันทำให้คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ส่งผลระยะยาวก่อมะเร็ง ซึ่งนี่คือสิ่งที่ทุกคนควรรับรู้ และตระหนักถึงพิษภัยใกล้ตัว แล้วเราจะหลีกพ้นจากพลาสติกมากพิษภัยได้อย่างไร?

สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้ริเริ่มโครงการยุทธศาสตร์นวัตกรรมด้านพลาสติกชีวภาพมาตั้งแต่ปี 2547 โดยร่วมมือกับบริษัทสงวนวงษ์อุตสาหกรรม จำกัด ผู้ผลิตแป้งมันสำปะหลังชั้นนำของประเทศ ศึกษาและวิเคราะห์ความเป็นไปได้ในการพัฒนาให้เกิดอุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพจากพืชผลเกษตรของไทย และส่งเสริมภาคเอกชนที่ใส่ใจในสิ่งแวดล้อมร่วมโครงการจนปัจจุบันเราสามารถทำผลิตภัณฑ์ขึ้นรูปเป็นพลาสติกชีวภาพย่อยสลายได้ (Biodegradable Plastics)

พลาสติกชีวภาพย่อยสลายได้ (Biodegradable Plastics) เป็นพลาสติกที่ผลิตจากพืช เช่น ข้าวโพด มันสำปะหลัง มันฝรั่ง ข้าว และอ้อย เป็นต้น โดยมีกระบวนการผลิตจากการใช้เอนไซม์ย่อยแป้งให้เป็นน้ำตาลกลูโคส แล้วนำไปหมักให้ได้เป็นกรมแลคติก จากนั้นนำไปผ่านกระบวนการพอลีเมอร์ไรเซชั่น (Polymerization) ก็จะได้เม็ดพลาสติกชีวภาพที่สามารถย่อยสลายได้ หรือที่รู้จักกันโดยทั่วไปคือ PLA (Polylactic Acid) ซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษสามารถย่อยสลายเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และน้ำ เมื่อนำไปฝังกลบในดินภายหลังการใช้งาน

ตั้งแต่วัตถุดิบที่ใช้สำหรับกระบวนการผลิตจนถึงการกำจัดทำให้พลาสติกชีวิภาพย่อยสลายได้มีคุณสมบัติเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและนี่คือการคิดค้นสร้างสรรค์เพื่อชีวิต เพื่อโลกอย่างแท้จริง...


ที่มา http://icare.kapook.com/content_detail.php?t_id=0&id=2833

โซนี่เปิดตัวโน้ตบุ๊ค VAIO TT 2 รุ่น ใหม่ล่าสุด

VAIO TT

บริษัท โซนี่ ไทย จำกัด เปิดตัวคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คซีรี่ส์ล่าสุด "ไวโอ้ ทีที" (VAIO TT) รุกตลาดระดับบนสำหรับผู้ใช้ที่พิถีพิถันในคุณภาพ และดีไซน์ และความคล่องตัวเพื่อการพกพาใช้งานในทุกที่ทุกเวลา "ไวโอ้ ทีที" โดดเด่นด้วยดีไซน์หรูหรา ภูมิฐาน เพียบพร้อมด้วยสมรรถนะการใช้งานระดับสูง สะดวกในการพกพา ใช้งานได้ทุกที่ ด้วยขนาด และน้ำหนักที่บางเบา แต่อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีล้ำยุคด้วยคุณภาพของภาพ และเสียงระดับสุดยอด เพื่อการใช้งานทั้งธุรกิจ และความบันเทิงส่วนตัว พร้อมกับเทคโนโลยีประหยัดพลังงาน แต่ไม่ลดหย่อนเรื่องคุณภาพ

"ไวโอ้ ทีที" จะวางตลาดพร้อมกัน 2 รุ่น คือ VGN-TT16SN มี 2 สี ให้เลือกคือ สีดำ และสีแดง วางจำหน่ายราคา 79,900 บาท และ VGN-TT15SN มีให้เลือก 2 สีคือสีดำ และสีทอง วางจำหน่ายราคา 69,900 บาท ภายในงานคอมมาร์ท คอมเทค ตั้งแต่วันที่ 13 พฤศจิกายน ศกนี้ เป็นต้นไป รวมทั้งกิจกรรมสำหรับแฟน "ไวโอ้ ซีเอส" บนเว็บไซต์ vaio.sony.co.th/cs ด้วยเนื้อหาสนุก ๆ อินเทรนด์มากมาย รวมถึงกิจกรรมการประกวด More Eyes on me! ให้ผู้สนใจได้ร่วมสนุกส่งไลฟ์สไตล์เท่ห์ๆ ส่วนตัวเข้ามาประกวดลุ้นรับรางวัลจากโซนี่ได้ร่วมสนุกด้วย

โดยสามารถติดตามรายละเอียดทั้งหมดบนเว็บไซต์ vaio.sony.co.th/cs ได้ตั้งแต่วันที่ 11 พฤศจิกายน ศกนี้

"VAIO TT" สุดยอด โน้ตบุ๊คเพื่อการใช้งานแบบพกพาซีรี่ส์ล่าสุดจากโซนี่ สุดยอดภาพ และเสียง

"ไวโอ้ ทีที" ให้คุณสมบัติทั้งภาพ และเสียงระดับสุดยอดด้วยหน้าจอไวด์สกรีน 16 : 9 ขนาด 11.1 นิ้ว แบบ Clear Tough LCD (Rich Color) ให้สีสันที่สดใส คมชัดสมจริง และยังเป็นคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คเครื่องแรก (ข้อมูลในเดือนตุลาคม 2551) ที่พ่วงเทคโนโลยี Noise Cancelling Function หรือระบบตัดเสียงรบกวนขณะฟังเพลงเมื่อต่อใช้งานกับหูฟัง เพื่อเพิ่มอรรถรส และความสุนทรีย์ในการฟังเพลงยิ่งขึ้น นอกจากนี้การใช้งานยังสะดวกง่ายดายด้วยการกดปุ่มเพียงปุ่มเดียวในการควบคุมการฟังเพลงไม่ว่าจะเป็นการตัดเสียง หรือเพิ่มลดความดังเบาของสียงเป็นต้น

สุดยอดดีไซน์

"ไวโอ้ ทีที" ยังโดดเด่นด้วยรูปลักษณ์ที่บางเบาทันสมัย ด้วยดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ของไวโอ้คือ Cylindrical Design ตัวเครื่องทำด้วยคาร์บอนไฟเบอร์ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่ง แต่มีน้ำหนักเบาเพียง 1.3 กิโลกรัมเท่านั้น (น้ำหนักเมื่อรวมแบตเตอรี่แล้ว) นอกจากนี้การออกแบบตัวเครื่องยังมีความสวยงาม สีสันกลมกลืนจากภายนอกจรดภายใน ส่วนที่วางมือจรดแกนพับของเครื่องออกแบบให้เป็นชิ้นเดียวกันไร้รอยต่อ รวมถึงคีย์บอร์ดที่ดีไซน์ให้ปุ่มพิมพ์ที่แยกกันอิสระเพื่อให้การพิมพ์งานเงียบ และลื่นไหลยิ่งขึ้น และไม่เป็นอุปสรรคกับสุภาพสตรีที่ไว้เล็บยาวอีกด้วย

สุดยอดประหยัดพลังงาน และความปลอดภัย

"ไวโอ้ ทีที" ยังประหยัดพลังงาน โดยสามารถใช้งานต่อเนื่องได้นานถึง 6 ชั่วโมง อันเป็นผลมาจากเทคโนโลยีที่ช่วยประหยัดพลังงานมากมาย อาทิ Intel® Core™2 Duo Processor SU9400 1.40 Ghz. สำหรับรุ่น VGN-TT16SN หรือ Intel® Core™2 Duo Processor SU9300 1.20 Ghz ในรุ่น VGN-TT15SN รวมทั้งเทคโนโลยีประหยัดพลังงานของไวโอ้เอง

เช่น Ambient Light Sensor หรือระบบปรับความสว่างหน้าจออัตโนมัติ Battery Care Function ที่ช่วยยืดอายุการใช้งาน ของแบตเตอรี่ นอกจากนี้ผู้ใช้พกพา ไวโอ้ ทีที ไปใช้งานได้ทุกที่อย่างอุ่นใจด้วยเทคโนโลยีที่ช่วยปกป้องข้อมูลสำคัญภายในเครื่อง อาทิ Fingerprint Sensor, HDD protection และ TPM security chip เป็นต้น

สุดยอดสมรรถนะ

"ไวโอ้ ทีที" เป็นคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คที่ถึงพร้อมด้วยคุณสมบัติ และสมรรถนะเพื่อการใช้งานแบบพกพาอย่างแท้จริงด้วยขุมพลังจาก Intel® Centrino®2 Processor, Windows Vista® Business, 2 GB DDR3 SDRAM (สามารถอัพเกรดได้ถึง 4 GB) ฮาร์ดดิสก์ความจุ 160 GB สำหรับ VGN-TT16SN และ ฮาร์ดดิสก์ความจุ 120 GB สำหรับ VGN-TT15SN พร้อมด้วย wireless LAN IEEE 802.11a/b/g Draft n ภายในเครื่อง และ Bluetooth®

สำหรับ "ไวโอ้ ทีที" จะเริ่มวางจำหน่ายในงานคอมมาร์ต คอมเทค ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 13 พฤศจิกายนนี้ เป็นต้นไป ทั้งนี้โซนี่ไทยยังได้เตรียมข้อเสนอพิเศษให้แก่ลูกค้าที่ซื้อไวโอ้ภายในงาน อาทิ บริการเงินผ่อนนาน 10 เดือน หรือรับเงินคืน 5 เปอร์เซ็นต์เมื่อชำระด้วยบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ เป็นต้น

นอกจากนี้โซนี่ยังได้จัดเตรียมกิจกรรมพิเศษบนเว็บไซท์ vaio.sony.co.th/cs สำหรับ VAIO CS โดยเฉพาะอีกด้วย โดยมีเนื้อหาที่น่าสนใจมากมาย อาทิ บล็อก และโฟโต้อัลบั้มของน้อง "แพตตี้" อังศุมาลิน จากภาพยนต์เรื่องปิดเทอมใหญ่ หัวใจว้าวุ่น ตัวแทน VAIO CS สีชมพู และคุณ "คริส หอวัง" สาวแอคทีฟสุดฮอตตัวแทน VAIO CS สีแดง

พร้อมทั้งตัวตนที่น่าสนใจของอีกสองหนุ่มอย่างน้อง "สน" ยุกต์ ส่งไพศาล นายแบบที่กำลังมาแรงตัวแทน VAIO CS สีดำ และคุณ "ธีร์" ธรณธัน หนุ่มโสดเจ้าของรางวัล The Most Street Smart Bachelor 2007 ที่จัดขึ้นโดยนิตสารคลีโอตัวแทน VAIO CS สีขาว พร้อมกิจกรรมการประกวด More Eyes on me! ที่จะให้ผู้บริโภคได้ร่วมสนุกส่งไลฟ์สไตล์ความเป็นกันเอง และโดดเด่น สามารถเข้ามาประกวดลุ้นรับรางวัลจากโซนี่ ติดตามรายละเอียดได้ในเว็บไซต์ ได้ตั้งแต่วันที่ 11 พ.ย. ศกนี้ เป็นต้นไป

นอกเหนือจาก "ไวโอ้ ทีที" แล้วโซนี่ยังได้วางตลาดไวโอ้รุ่นใหม่อื่นๆ ด้วย คือ VAIO SR รุ่น VGN-SR27SN และ VGN-SR25S VAIO FW รุ่น VGN-FW27GU และ VGN-FW25S รวมทั้ง VAIO CS รุ่น VGN-CS16S ที่เพิ่มสีใหม่อีก 1 สีคือ สีน้ำตาล พร้อมด้วย VAIO TP ในรุ่น VGX-TP3G

สำหรับลูกค้า และผู้สนใจสามารถสัมผัส และเลือกชมไวโอ้รุ่นใหม่ล่าสุดทุกรุ่นได้ที่งานคอมมาร์ต โชว์รูมโซนี่สไตล์ และร้านผู้แทนจำหน่าย สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ข้อมูลโซนี่ โทร. 0-2715-6100 หรือเยี่ยมชมได้ที่ sony.co.th


ที่มา
http://hilight.kapook.com/view/30797

วันเสาร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ขนมน้ำดอกไม้

ส่วนผสม

- แป้งข้าวเจ้า 1 ถ้วยตวง
- แป้งเท้ายายม่อม 1 ช้อนโต๊ะ
- น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วยตวง
- น้ำลอยดอกมะลิ 1/2 ถ้วยตวง
- สีใส่ขนม เช่น เขียว ชมพู ฟ้า เหลือง



วิธีทำ

1. ตักน้ำใส่ลังถึงประมาณค่อนลังถึง นำไปตั้งบนเตา ใช้ไฟแรงจนเดือดพล่าน
2. เรียงถ้วยตะไลขนาดเล็กๆ ใส่ลังถึง เว้นช่องว่างให้ห่างพอสมควร นำไปนึ่งจนถ้วยร้อนจัด
3. ผสมแป้งข้าวเจ้า แป้งเท้ายายม่อม และน้ำตาลทรายให้เข้ากัน ค่อยๆ ใส่น้ำทีละน้อย คนจนน้ำตาลทรายละลาย กรองด้วยผ้าขาวบาง (เวลากรองแป้งอย่าให้แป้งค้างอยู่ในผ้าขาวบางมาก เพราะจะทำให้แป้งใส)
4. แบ่งใส่สีตามใจชอบ ก่อนที่จะนำไปนึ่ง ช้อนฟองออกให้หมด



วิธีนึ่ง สามารถเลือกทำได้ 2 วิธี ดังนี้...

วิธีที่ 1 : รินแป้งใส่ลงในถ้วยที่นึ่งจนร้อนจัด นึ่งประมาณ 10 นาที ยกลงทิ้งไว้ให้เย็น แคกออกจากถ้วย
วิธีที่ 2 : รินแป้งใส่ลงในถ้วย นึ่งประมาณ 1 นาที ยกลง รินแป้งที่เหลืออยู่ออกจากถ้วยให้หมด นำกลับไปนึ่งต่อจนขนมสุก ยกลง ทิ้งไว้ให้เย็น แคกออกจากถ้วย

ขนมช่อม่วง (ชนิดหวาน)

ส่วนผสมแป้ง

แป้งข้าวเจ้า1 / 2 ถ้วยตวง
แป้งข้าวเหนียว1 ช้อนโต๊ะ
แป้งมัน2 ช้อนชา
แป้งท้าวยายม่อม2 ช้อนชา
น้ำมันพืช1 ช้อนโต๊ะ
น้ำดอกอัญชัน1 / ถ้วยตวง

ส่วนผสมไส้ขนม

ฟักเชื่อมหั่นสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ1 / 4 ถ้วยตวง
ถั่วลิสงคั่วซอยบาง ๆ1 / 4 ถ้วยตวง
หอมแดงเจียว1 / 4 ถ้วยตวง
เกลือป่น1 / 4 ช้อนชา
น้ำตาลทรายเม็ดเล็ก1 / 4 ถ้วยตวง
มันหมูแข็ง2 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำไส้ขนม

ใส่เครื่องทั้งหมดลงในกระทะ พอร้อนทั่วยกลงโรยด้วยน้ำตาลทรายขณะร้อน ๆ

วิธีทำแป้ง

  1. ผสมแป้งทั้ง 4 ชนิดเข้าด้วยกัน
  2. ดอกอัญชันแช่น้ำร้อนแล้วกรอง บีบมะนาวให้เป็นสีม่วงสด ๆ ใส่ลงในแป้ง กวนให้เข้ากันแล้วกรองให้สะอาดใส่ลงในกระทะทอง
  3. ใส่น้ำดอกอัญชันลงไปทีละน้อย นวดแป้งไปเรื่อย ๆ ประมาณ 5 นาที จึงใส่น้ำดอกอัญชันลงไปให้หมดแล้วใส่น้ำมัน
  4. กวนแป้งด้วยไฟอ่อนให้สุก ยกลงนวดให้เข้ากัน แบ่งแป้งเป็นก้อน ๆ หลาย ๆ ก้อน ปั้นให้กลม
  5. แผ่แป้งให้เป็นกระพุ้ง อย่าให้บางมาก ใส่ไส้ลงไปหุ้มให้มิดจับจีบด้วยที่หนีบก็ได้ ให้มีลักษณะเป็นดอกไม้ แล้วนำไปนึ่งประมาณ 4 – 5 นาที
  6. ถ้าแป้งติดมือ ใช้แป้งข้าวเจ้า 1 ส่วน แป้งมัน 2 ส่วน

วันศุกร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2553

วิธีทำกระเป๋าผ้า (ช่วยลดโลกร้อนกัน)

วิธีทำมาดูวิธีทำกระเป๋าใบเล็กสำหรับเก็บอีโคแบ็กทั้งใบก่อนนะคะ
เราตัดผ้าสามเหลี่ยมมาต่อกันค่ะ เลือกใช้แค่ 2 สีนี่แหล่ะ ไม่ปวดหัวดี

ตั้งใจว่าจะทำสีให้ตัดกับตัวกระเป๋า เลยเลือกสีชมพู-ขาวจ้า

ต่อผ้าๆๆๆ

ต่อแบบไหนก็ได้ตามใจคุณจ้า ให้ได้ความกว้าง 15 ซม. ความยาว 33 ซม.
เริ่มขี้เกียจเลยเอาผ้าผืนยาวแปะหัวท้ายเสียเลย

ด้านหลังค่ะ เย็บ 2 ชิ้นหน้า-หลังให้ติดกัน
เอาด้านถูกประกบกันเสร็จแล้วเหลือช่องกลับด้านถูกออกมา
แล้วสอยปิดช่องเลยจ้า

เสร็จแล้วพับผ้าขึ้นมาสูง 15 ซม. (แผ่นบนที่เห็นขอบสีขาว)
สอยขอบให้เป็นกระเป๋า จะเหลือส่วนที่เป็นฝา (สีชมพู) อยู่ 3 ซม. จ้า
เป็นอันเสร็จส่วนกระเป๋าอันน้อย

—————————————————————————–

มาต่อกันที่ตัวถุงใบใหญ่กันบ้าง เย็บผ้าให้ได้เป็นถุงขนาด กว้าง 43 สูง 40 ซม.
ปากถุงปล่อยอ้าไว้ก่อนจ้า เย็บแค่ 3 ด้านพอ
ถ้ามีเวลาก็เย็บซัก 2 รอบนะคะ ตะเข็บจะได้แน่นหนาหน่อย เผื่อใส่ของหนัก

พับด้านซ้ายกับด้านขวาเข้าไปด้านละ 7.5 ซม.
แล้วเย็บตรงก้นถุงให้ตะเข็บห่างจากขอบผ้าซัก 1 ซม.นะคะ
(ถ้างงว่าเย็บยังไงหาถุงก๊อบแก๊บที่บ้านมาดูเป็นแบบเลยค่ะ)

ตัวหูกระเป๋า ตัดผ้ายาว 32 ซม. กว้าง 12 ซม.
ตรงกลางเราทำให้คอดหน่อย 10 ซม.
ตัด 2 ชิ้นจ้า

เย็บขอบเก็บเข้าไปหน่อยจ้า ผ้าเราหนาเลยพับแล้วเย็บเลย
ถ้าผ้าบางๆ ก็สอยซ่อนชายผ้าสวยเรียบร้อยกว่ากันเยอะคร้าบ

เสร็จแล้วพับครึ่งแล้วรีดค่ะ

เอากึ่งกลางหูกระเป่าที่พับเอาไว้แปะกับกึ่งกลางของริมถุงค่ะ
ด้านนึงจะมีริมนี่ 2 ริม ก็เอาหูนี่เย็บแปะเข้าไป
เส้นตะเข็บที่เห็นด้านซ้ายในรูปคือตะเข็บกลางกระเป๋าค่ะ
ที่ผ้าด้านหน้ากับด้านหลังมาเจอกัน

เย็บเสร็จแล้วเราจะพับขอบรอบๆ ปากกระเป๋าเข้าไปด้านในแล้วเย็บจ้า
(สอยสวยกว่านะคะ แต่อย่างที่บอกว่าผ้ามันหนาไปหน่อย)
ดูวิธีติดหูกันชัดๆ

อีกมุมค่ะ

พอพับแล้วจะเป็นแบบนี้

ดูกันชัดๆ จ้า อธิบายตรงนี้ไม่ค่อยละเอียดเลย ขออภัยค่ะ

ด้านในค่ะ ใส่ไส้ไก่ไว้ด้วย
ด้วยความที่ขี้เกียจเย็บไส้ไก่ตอนเกือบๆ ตีสามเลยเอาสายหนังมาแปะแทนจ้า

อีกด้านค่ะ เย็บกระเป๋าน้อยชิ้นแรกแปะไว้เลย
โดยเอาส่วนฝาที่เหลือไว้ 3 ซม. ซ่อนใต้ตะเข็บเลยค่ะ (อย่าลืมไส้ไก่อีกเส้น)

—————————————————————-

สาธิตวิธีเก็บจ้า
เอาส่วนกระเป๋าอันเล็กออกมาด้านนอก

พลิกกลับด้าน เอาอีกด้านหงายขึ้นมา

พับส่วนหูกระเป๋าแล้วสอดเข้าด้านในก่อน

พับตรงก้นกระเป๋าขึ้นมาค่ะ

พยายามยัดเข้าไปเลยจ้า

อีกมุม ผ้าหนา กระเป๋าเลยดูกลมไปหน่อยคะ

อีกด้านคะ

ปิดท้ายด้วยรูปด้านในของกระเป๋าค่ะ จุนะคะใบนี้
ถ้าคิดว่าจะใส่ของหนักๆ พวกน้ำพวกนมก็เย็บตะเข็บให้แข็งแรงหน่อยค่ะ


ที่มา http://www.witeetum.com/?tag=กระเป๋าผ้า