MILKKIZZ*

วันอาทิตย์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2553

พบยีนทำให้สายตาสั้น อีก 10 ปีหาวิธีป้องกันได้



สื่อนอก เผย อีก 10 ปีป้องกันสายตาสั้นได้ (ไอเอ็นเอ็น)

สื่อต่างประเทศ เผยผลการวิจัยของผู้เชี่ยวชาญแห่งมหาวิทยาลัยคิง คอลเลจ พบว่าสายตาสั้นมีผลมาจากยีนบางตัว และเตรียมพัฒนายาหยอดตา สำหรับการป้องกันอาการสายตาสั้น


สื่อต่างประเทศ ได้ออกมาเผยผลการวิจัยเกี่ยวกับอาการผิดปกติ ทางสายตาของมหาวิทยาลัยคิง คอลเลจหลังพบว่าอาการสายตาสั้น
เกิดจากความผิดปกติจากยีน พร้อมเเผนในอนาคตอาจมีการพัฒนายาหยอดตา เพื่อป้องกันความผิดปกติทางสายตาสำหรับเด็ก

สำหรับยีนที่เกี่ยวข้องกับการผิดปกติของอาการสายตาสั้นมีชื่อว่า RASGRF1 ถูกพบในกลุ่มตัวอย่างฝาแฝดที่ทำการสำรวจ ยีนดังกล่าวทำงานหากผิดปกติ จะก่อให้เกิดอาการ
"Myopia" หรือสายตาสั้น และจะทำให้ผู้มียีนดังกล่าว ผิดปกติมีอาการตาพร่า มองเห็นวัตถุไม่ชัดเจน

จากการค้นพบยีนดังกล่าว ทางทีมงานวิจัยได้เผยว่าในอนาคตไม่เกิน 10 ปี ทางผู้ทีมงานจะสามารถพัฒนายาหยอดตาหรือ ยากิน เพื่อยับยั้งความผิดปกติทางสายตา สำหรับเด็ก และผู้ที่มีอาการสายตาสั้น ซึ่งยาดังกล่าวจะไม่มีผลต่อผู้ที่มีอาการสายตาสั้นอยู่แล้ว


ที่มาhttp://health.kapook.com/view16850.html

แนะนำหนังสือน่าอ่าน

สำนักพิมพ์ Bliss Publishing

คินดะอิจิยอดนักสืบ 20 ตอน ข้างหลังบานประตู เขียนโดย โยโคมิโซะ เซชิ แปลโดย ชมนาด ศีติสาร

คินดะอิจิยอดนักสืบ 20 ตอน ข้างหลังบานประตู

คาโยโกะ สาวบาร์ช้ำรักเพิ่งถูกแย่งคนรักไปจากอก วันหนึ่งเธอต้องเผชิญเหตุไม่คาดฝัน เมื่อพบว่าหญิงผู้เป็นศัตรูหัวใจกลายเป็นศพ ไม่ไกลนักมีปิ่นปักหมวกเปื้อนเลือดปริศนาตกอยู่ พร้อมด้วยเศษจดหมายข้อความประหลาด "จงเคาะเถิด แล้วประตูจะเปิดให้ท่าน"…

จดหมายลงท้ายด้วยชื่อคนซึ่งคล้ายจะเป็นอดีตแฟนหนุ่ม คาโยโกะเป็นห่วงคนรัก จึงขอร้องให้คินดะอิจิช่วยสืบ แต่คดีกลับซับซ้อนเกิดคาด ด้วยพัวพันกับผู้คนมากหน้า หนำซ้ำแต่ละคนยังเก็บงำความลับ นักสืบจึงต้องปวดหัวหนักกว่าจะได้เบาะแสแน่นอน นำไปสู่การค้นพบความจริงซึ่งยากเกินจะคาดเดา

อนเมียวจิ นักสืบกำมะลอ เขียนโดย อามาโนะ โชโกะ แปลโดย อาคิรา รัตนาภิรัต

อนเมียวจิ นักสืบกำมะลอ


"ร้านอนเมียวเปิดแล้ว" เชิญเร่เข้ามาใช้บริการสารพัน ทั้งทำนายชะตา ดูดวงความรักและขับไล่วิญญาณ อนเมียวจิกำมะลอ (?) แห่งเมืองโอจิ ดินแดนสุนัขจิ้งจอก ขอรับประกันความพึงพอใจ

หนุ่มน้อยชุนตะเป็นลูกครึ่งจิ้งจอก ผู้แฝงตัวใช้ชีวิตกับมนุษย์ธรรมดา แต่คืนวันอันแสนสงบสุขกลับเปลี่ยนเป็นยุ่งเหยิง เมื่อจับพลัดจับผลูมาช่วยงานอนเมียวจิหน้าหล่อสุดใจแต่นิสัยเสียสุดขั้ว

ทุกวันต้องเหนื่อยปะทะฝีปากกับเจ้านายมากเล่ห์ก็แทบแย่แล้ว ปัญหาพิสดารยังไหลมาเทมาให้ตามแก้ราวกับเปิดสำนักงานนักสืบ ทั้งเรื่องผัว ๆ เมีย ๆ สืบหาพินัยกรรม ตามหาคนหนีออกจากบ้าน ! แต่ถึงภารกิจสืบสะเด็ดเรื่องชาวบ้านจะยุ่งวุ่นแค่ไหน ก็ไม่น่าปวดหัวเท่าหวิดจะถูกเปิดเผยความลับสุดยอด งานนี้คู่หูต่างขั้วเลยจับมือพักรบกันชั่วคราว เพื่อปฏิบัติการตามล้างตามเช็ดปัญหาชีวิตสุดอลเวง !

กลลวงเทพจิ้งจอก เขียนโดย โอตสึ อิจิ แปลโดย พรพิรุณ กิจสมเจตน์

กลลวงเทพจิ้งจอก

สองเรื่องสั้นชุดล่าสุดจากนักเขียนเรื่องลึกลับ แฟนตาซี และสยองขวัญ โอตสึ อิจิ ผู้แจ้งเกิดในวงการตั้งแต่อายุ 17 ด้วย ฤดูร้อน ดอกไม้ไฟ และร่างไร้วิญญาณของฉันอันเป็นผลงานเล่มแรก ตามด้วยนิยายคุณภาพซึ่งคุณเคยติดใจมาแล้ว

A MASKED BALL ผมเพียรหาห้องน้ำเงียบสงบ ไว้เป็นแหล่งสูบบุหรี่พักใจในโรงเรียน...

วันหนึ่ง มีคนมือบอนฝากคำเตือนไว้บนผนังห้องสุขาว่า "ห้ามขีดเขียนผนัง" ทำเอาผมกับอีกสองสามคนชักคันมือบ้าง เราจึงเริ่มใช้ข้อความโต้ตอบกัน มิตรภาพเกิดขึ้นทั้งที่ไม่เคยเห็นหน้า ไม่นึกเลยว่าข้อความในสวรรค์น้อย ๆ แห่งนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นของเหตุระทึกขวัญให้พวกผมต้องจดจำไปอีกนาน…

กลลวงเทพจิ้งจอก เพียงเพราะคำผูกพันสัญญา ยางิจึงต้องพบชะตากรรมน่าเศร้า

ทั่วร่างเขาปกคลุมด้วยผ้าพันแผล ไม่มีใครเคยเห็นใบหน้าแท้จริง แต่แล้วกลับเกิดเรื่องไม่คาดฝัน บังคับให้เขาต้องยอมเผยโฉมที่ปิดบังไว้...ชายหนุ่มจำต้องเร้นกายจากผู้คน เร่ร่อนตามลำพังโดดเดี่ยว วันหนึ่งยางิล้มฟุบข้างถนน เด็กสาวคนหนึ่งช่วยไว้ ซ้ำยังเอ่ยชวนให้อยู่พักรักษาตัว ไมตรีจากเธอทำให้เขาเริ่มเปิดใจ แอบหวังว่าจะได้หวนสู่ชีวิตปกติ

สำนักพิมพ์ มติชนบุ๊คส์

แปซิฟิก สมรภูมิเดนตาย สหายร่วมรบ เขียนโดย ยูจีน บี. สเล็ดจ์ แปลโดย ฉัตรนคร (องคสิงห์) เขมาสารี

แปซิฟิก สมรภูมิเดนตาย สหายร่วมรบ

จากซีรีส์ดังช่อง HBO โดย ทอม แฮงก์ส และสตีเฟ่น สปิลเบิร์ก สู่บันทึกความทรงจำในรูปแบบหนังสือ “แปซิฟิก สมรภูมิเดนตาย สหายร่วมรบ” จากสิ้นเสียงสุดท้ายของลมหายใจ

"สงครามเป็นเรื่องโหดร้ายไม่มีเหตุผล น่าอับอาย ไร้เกียรติ เป็นความสูญเปล่าอย่างไม่น่าให้อภัย การสู้รบที่ยังคงทิ้งร่องรอยอันลบไม่ออกไว้ในใจผู้ที่ถูกบังคับให้ต้องทนรับ มัน ปัจจัยเดียวที่ช่วยไถ่ถอนก็คือความกล้าหาญอย่างไม่น่าเชื่อของเหล่าสหาย รวมถึงความเสียสละที่มีให้แก่กันและกัน ทว่าความรักและความสามัคคีนั่นเองที่ช่วยประคับประคองเราไว้"

หากสงครามคือ การปล้นชีวิตมนุษย์ที่ไม่ใช่เรื่องของเกียรติหรือศักดิ์ศรี แต่เป็นความโหดร้ายซึ่งมนุษย์สองฝ่ายใช้เป็นข้ออ้างเพื่อลุกขึ้นมาเข่นฆ่า กันเอง...

ด้วยเหตุนี้ ยูจีน บี. สเล็ดจ์ นาวิกโยธินสหรัฐฯ ผู้มุ่งมั่นอยากออกรบให้ทันก่อนสงครามสิ้นสุด จึงได้ถ่ายทอดเรื่องราวบทบันทึกจากประสบการณ์ในสมรภูมิเปลีลิวและโอกินาวาใน สงครามโลกครั้งที่ 2 ทั้งส่วนของการฝึกและการรบ ไว้ในเศษกระดาษ และสอดไว้กับคัมภีร์ไบเบิลฉบับพกพา แม้ว่าสงครามจะจบไปแล้วกว่า 6 ทศวรรษ แต่ภาพหลอนของสงครามยังติดตรึงอยู่ในใจของเขา

กระทั่งภรรยาได้แนะนำให้เขาเขียนเพื่อระบายความเจ็บปวดนี้ออกมา ซึ่งได้รับความสนใจและตีพิมพ์บันทึกความทรงจำในชื่อ With the Old Breed เป็นครั้งแรกในปี 1981 และมีการตีพิมพ์ซ้ำเรื่อยมา กระทั่งในปี 2007 ทอม แฮงก์ส และสตีเฟ่น สปิลเบิร์ก เลือกหนังสือเล่มนี้ กับ Helmet for My Pillow ของ โรเบิร์ต เลคกี้ มารวมสร้างเป็นซีรีส์ The Pacific ทางช่อง HBO และสำนักพิมพ์มติชนได้นำมาแปลเป็นภาษาไทยโดย ฉัตรนคร (องคสิงห์) เขมาสารี ในชื่อ “แปซิฟิก สมรภูมิเดนตาย สหายร่วมรบ"

จากบันทึกความทรงจำ เขาได้บอกเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นในสนามรบขณะที่เขาเป็นพลทหาร ต้องวิ่งฝ่าห่ากระสุนและเห็นเพื่อนตายไปต่อหน้าต่อตา เรื่องราวของเขาไม่ได้เสกสรรปั้นแต่งให้เกินจริง เขากล้าเปิดเผยถึงอีกด้านมืดของมนุษย์ที่เกิดจากความโหดร้ายของสงคราม ซึ่งสามารถเปลี่ยนให้เด็กหนุ่มใสซื่อ กลายเป็นคนด้านชากระหายเลือด พร้อมจะทำเรื่องเลวร้ายและไร้มนุษยธรรมได้ทุกเมื่อ และตัวเขาเองก็เกือบจะกลายเป็นเช่นนั้น หากไม่ได้เพื่อนร่วมรบผู้หวังดีและมีความศรัทธาในพระเจ้าคอยดึงรั้งเอาไว้

นอกจากนี้ ยังฉายให้เห็นสภาพแวดล้อมอันหฤโหดที่เหล่าทหารต้องเผชิญ ความเด็ดเดี่ยวและมุ่งมั่นของบรรดาทหารหาญ ฉากการห้ำหั่นอันน่าตื่นเต้นหวาดสยอง ภาพเลือดและศพกระจายเกลื่อนสมรภูมิ แต่ในทางกลับกันก็ยังฉายให้เห็นภาพความเสียสละ ความสามัคคีของเพื่อนมนุษย์ผู้ร่วมรบเพื่อช่วงชิงชัยชนะแห่งสันติภาพ ทว่าสิ่งเหล่านี้หากได้มาต้องแลกด้วยชีวิต

แม้ว่าสงครามจะจบสิ้นไปแล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงเหลือทิ้งไว้คือ "คราบน้ำตา" ของชนรุ่นหลังที่รำลึกถึงเหล่าทหารกล้า หากไม่มีพวกเขาในสมรภูมิรบคงไม่มีสันติภาพเกิดขึ้นเป็นแน่...

คนสองวิญญาณ โดย สรจักร

คนสองวิญญาณ

ปล่อยของให้ติดอกติดใจกันมาแล้วกับงานเขียนชุด "ศพ" ศพใต้เตียง ศพข้างบ้าน ศพท้ายรถ และชุด "ผี" ผีหลอก ผีหัวขาด ผีหัวเราะ และชุด "วิญญาณ" วิญญาณครวญ ล่าสุด คนสองวิญญาณ ที่คลอดตามออกมาติด ๆ

นอกจากนี้ยังมีผลงาน "เรื่องจริงจากคดีดัง" ที่เขย่าขวัญไม่แพ้กัน อาทิ ฆาตกรในเสื้อกาวน์, ฆาตกรสาวเสื้อกาวน์เลือด, จิตกาธาน, กามวิปริตจิตวิปลาส, วิปลาสฆาตกรรม และนักฆ่าบ้ากาม

คนกับผี ดีกับชั่ว แฝงตัวอยู่ในใจ ซ่อนกายอยู่ในจิต คอยกำกับความคิดให้ลงมือ...กระทำ ใครอาจเห็นวิญญาณที่สอง ล่องลอย วนเวียน แล้วม้วนตัวซุกซน...รอเวลาแผลงฤทธิ์ อย่าเผลอไผล อย่าได้คลาดสายตา ถึงเวลา...12 เรื่องสั้นหักมุม-เขย่าขวัญ-สั่นประสาท ออกอาละวาดแล้ว ใครไม่ระวังตัว...โดน...ติดหนึบ!

ฆาตกรรมหลังเลิกเรียน โดย ชนินทร อุลิศ

ฆาตกรรมหลังเลิกเรียน

หลังจาก "เอกชัย" พลั้งมือทำร้าย "ภาคภูมิ" เพื่อนร่วมชั้นอย่างไม่ยั้งมือ เขาก็พบว่าภาคภูมิตายเสียแล้ว! แต่หลังจากนำศพไปซ่อนเพื่อรอการทำลาย ร่างของภาคภูมิก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย แล้วเขาจะทำอย่างไร...นอกจากตามหาศพให้ได้ก่อนจะมีคนมาพบเห็น

ใครกันเล่าที่อยู่เบื้องหลังการขโมยร่างไร้วิญญาณไปซุกซ่อน อาจเป็นผู้ไม่หวังดีชักใยกลั่นแกล้ง หรืออาจเป็นศัตรูที่รอคอยการแก้แค้น หวังเพียงคนร้ายคงไม่ใช่ "ยุวดี" หญิงสาวที่อยู่เคียงข้างเสมอมา แม้เขาจะรู้สึกสังหรณ์ใจทุกครั้งที่สบตาเธอ

เสียน้ำตาให้หมา โดย ชาติ ภิรมย์กุล

เสียน้ำตาให้หมา

เรื่องราวของปั๊ก-ปอน ตอนเลิกปรองดองกับ(โรค)หัวใจ ทั้งโฮทั้งฮา...โฮ่ง ๆ ความร่าเริง น่ารัก และแสนรู้ ของ "ปั๊ก-ปอน" สุนัขที่เป็นตัวละครเอกในเรื่อง คนเลี้ยงหมา อยู่กับหมาและ วันของหมา

ชาติ ภิรมย์กุล เล่าจากความทรงจำที่ยังติดตรึงใจ ด้วยหัวใจของคนรักหมา แม้จะเจ็บปวดใจ แม้จะต้อง "เสียน้ำตาให้หมา" อีกครั้ง ซาบซึ้งและสนุกสนานเฮฮาปน ๆ กันไป อ่านแล้วออกอาการ "หัวเราะทั้งน้ำตา" โดยไม่รู้ตัว แถมท้ายด้วยเรื่องราวของหมาสารพัดพันธุ์ พร้อมภาพน่ารัก ๆ ที่คนรักหมาไม่ควรพลาด

ที่มา http://hilight.kapook.com/view/52115

Facebook Twitter หรือเล่นไฮเทคมาก ๆ ระวังป่วย

อินเทอร์เน็ต

ไฮเทคมาก ๆ ระวังป่วยนะจ๊ะ (Lisa)

อย่า มัวแต่เล่นเกมปลูกผักใน Facebook หรือเสิร์ชหาข้อมูลใน Google แถมยังแซวเพื่อนคนนั้นคนนี้ใน Twitter เผลอ ๆ แอบส่งเมสเซจผ่าน BlackBerry จนวัน ๆ แทบไม่ทำอะไร เพราะไลฟ์สไตล์แสนไฮเทคแบบนี้อาจจูงโรคเข้ามาหาเราได้อย่างไม่น่าเชื่อ

สาว Twitter ตัวยงเห็นจะมีตั้งแต่คู่รักอย่าง เดมี่ มัวร์ และ แอชตัน คุทเชอร์ ไปจนถึงนักแสดงสาว มิสชา บาร์ตัน และนักร้องแสบซ่าอย่าง บริตนีย์ สเปียร์ส หรือผู้อำนวยการสร้างชื่อกระฉ่อน จอร์จ ลูคัส นักปั่นแข้งทอง แลนซ์ อาร์มสตรอง รวมถึง ไมเคิล เฟลป์ส นักว่ายน้ำผู้ล่าเหรียญทองกีฬาโอลิมปิกหลายต่อหลายเหรียญ

แต่ ใช่ว่าจะมีแค่เหล่าคนดังเท่านั้นที่คลั่งไคล้โลกของความไฮเทค เพราะเราเองก็แทบคลั่งกับกระแสการใช้ Facebook Twitter และ BlackBerry โดยหารู้ไม่ว่าความไฮเทคแบบนี้ แอบซ่อนความเสี่ยงเอาไว้อย่างมิดชิด

ป่วยกาย...เพราะไฮเทคมากเกินไป

ใครที่วัน ๆ เอาแต่นั่งเสิร์ชข้อมูลในคอมพิวเตอร์ ไม่ก็เล่นเกมใน Facebook แถมยังต้องก้มคอลงกดปุ่มใน BlackBerry แซวกับเพื่อน ๆ ใน Twitter ทั้งวี่ทั้งวัน เรากำลังจะบอกว่าคุณมีสิทธิ์ป่วยด้วยโรคเหล่านี้...

โรคเส้นเลือดดำตีบตันที่ขา (Deep Vein Chrombosis) ถ้านั่งหน้าจอเพื่อแชตหรือหาข้อมูล รวมทั้งเล่นเกมมากเกินไป อาจทำให้เป็นโรคนี้ได้ ซึ่งโรคนี้ถ้าลิ่มเลือดหลุดเข้าไปในหัวใจจะมีอาการเหนื่อย และอาจหัวใจวายจนถึงขั้นเสียชีวิตได้

โรครูม่านตามีอาการเกร็งผิดปกติ เพราะปกติเวลาเราใช้คอมพิวเตอร์นาน ๆ แสงจะเข้ามาหาตาเราจนต้องหรี่ตา แล้วเกร็งตา ซึ่งถ้าใช้คอมพิวเตอร์ทั้งวัน เราจะเกร็งตาจนรู้สึกปวดบางคนลามมาถึงปวดหัวไมเกรนด้วย

ไมเกรน คนที่ใช้คอมพิวเตอร์ค้นหาข้อมูลมากเกินไป อาจจะทำให้เกิดความเครียดสะสมและพัฒนาไปสู่อาการปวดหัวไมเกรนได้ อีกอย่างแสงที่ส่องเข้าตาเราขณะพิมพ์งาน ก็เป็นตัวแปรที่ทำให้เกิดอาการไมเกรนได้

โรคกระดูกคอและกระดูกหลังเสื่อม เพราะนั่งในท่าเดิมนาน ๆ โดยไม่ได้เปลี่ยนอิริยาบถ บางคนอาจจะนอนเล่นคอมฯ อยู่บนเตียง ทำให้คอและหลังรับแรงมากกว่าปกติ

โรค Carpal Tunnel Syndrome โรคนี้คนในยุคปัจจุบันเริ่มเป็นมากขึ้น เพราะวัน ๆ ใช้แต่คอมพิวเตอร์ ทำให้ข้อมือมีผังพืดเกิดขึ้น


ป่วยใจ...เพราะหมกมุ่น

น้อย คนนักจะรู้ถึงผลของความไฮเทคที่มีต่อจิตใจ ซึ่งถ้าเราใส่ใจกับสุขภาพทางใจสักนิด ก็อาจจะไม่ต้องเสียใจกับโรคที่เราอาจป่วยอยู่ก็ได้

โรค Internet Addiction ซึ่งอาการของคนเหล่านี้จะมีตั้งแต่เสิร์ชหาข้อมูลใน Google มากเกินไป หรือเล่น Hi5 Facebook Twitter รวมทังแชตจนเลิกไม่ได้ บางคนเสพติดสื่อเหล่านี้ถึงขนาดไม่เป็นอันทำงาน เสียการเรียน เสียเวลาพักผ่อน และถ้าเสพติดถึงขั้นรบกวนวิถีชีวิตประจำวันแล้วละก็ ควรรีบไปปรึกษาจิตแพทย์โดยด่วน

อย่างไรก็ดี โรค Internet Addiction เป็นโรคที่คนส่วนใหญ่อาจมองข้าม เพราะคิดว่าวันหนึ่งมีถึง 24 ชั่วโมง แต่ถ้าเราใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการนี้ เราจะละเลยสิ่งอื่น ๆ เช่น การออกกำลังกาย การเข้าสังคม และการปฏิสัมพันธ์กับคนในครอบครัว จนเกิดปัญหาอื่น ๆ ตามมา อย่างเช่น ป่วยเป็นโรคอ้วน โรคเบาหวาน หรือห่างเหินกับคนในครอบครัว ฉะนั้นเราควรรู้จักแบ่งเวลาว่าเวลานี้ใช้อินเทอร์เน็ต เวลานั้นออกกำลังกายหรือไปทำกิจกรรมอื่น ๆ

โรคอีคิวลดต่ำ (Low EQ) ซึ่งเป็นปัญหาทางจิตใจอย่างหนึ่ง คนสมัยนี้มักชอบใช้เวลาอยู่หน้าคอมพิวเตอร์นาน ๆ ไม่ก็มีโลกส่วนตัวกับกลุ่มเพื่อนใน Social Network อย่าง Facebook, Hi5 หรือ Twitter ทำให้ปฏิสัมพันธ์กับคนจริง ๆ ไม่มีแม้จะดูเหมือนว่ามีเพื่อนเยอะในโลกไซเบอร์ แต่แท้จริงกลัวไม่รู้จักที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับคนจริง ๆ ในสังคมเลย เวลาเผชิญหน้ากับปัญหา เช่น เจอคนที่ไม่ชอบหน้าก็ไม่สามารถที่จะทำตัวได้ถูก เพราะเวลาอยู่ในโลกไซเบอร์เขาเหล่านี้ก็แค่บล๊อกไม่ให้คนที่ไม่ชอบหน้าเข้า มาคุยด้วย แต่ในสังคมจริง ๆ เราทำอย่างนั้นไม่ได้

อีกอย่างการอยู่แต่ในโลกไซเบอร์ ยังทำให้คนคนนั้นขาดทักษะทางสังคมหรืออีคิวต่ำ เพราะการมีเพื่อนแชตในโลกไซเบอร์ หาใช่การมีมิตรภาพที่แท้จริงไม่ เพราะเมื่อเราทุกข์ใจ คนในไซเบอร์ไม่สามารถเข้ามาตบบ่า หรือปลอบประโลมเราได้ หรือเมื่อเราสุขใจ เพื่อนเหล่านี้ก็ไม่สามารถเดินเข้ามาจับมือแสดงความยินดีกับเราได้ เพราะเพื่อนในอินเทอร์เน็ตนั้นเรารู้จักกันอย่างผิวเผิน และมิตรภาพที่แท้จริงจำเป็นต้องมีอะไรมากกว่าการแชตออนไลน์ หรือบีบีหากัน ที่สำคัญการหล่อหลอมบุคลิกภาพของคนคนหนึ่งขึ้นมา ต้องอาศัยการปฏิสัมพันธ์กับคนในสังคมมากกว่าการออนไลน์คุยกัน

พฤติกรรมเลือกรับเฉพาะข้อมูลที่ตัวเองสนใจ (Seeking Preferred Information) ทำให้กลายเป็นคนโลกแคบ เพราะจะเสิร์ชหาแต่เฉพาะข้อมูลที่ตัวเองสนใจ และละเลยข้อมูลด้านอื่น ๆ นอกจากจะทำให้เป็นคน "ฉลาดลึกโง่กว้าง" แล้วยังทำให้เป็นคน Information Overload คือรู้แต่เรื่องที่ตัวเองสนใจจนมีข้อมูลมากเกินไป แต่ตัดสินใจไม่ได้ว่าข้อมูลใดถูกต้อง และเมื่อสนใจแต่เรื่องในวงแคบ ๆ ทักษะในการสื่อสารกับคนอื่น ๆ จึงต่ำลงไปด้วย เพราะไม่รู้เรื่องอื่น ๆ ที่คนอื่นสนใจอยู่

คนที่เข้าข่ายมีพฤติกรรมผิดปกติจะมีอาการไม่สู้ตาคน ไม่รู้จักการสื่อสารแบบตัวต่อตัวมีปัญหาเรื่องการเข้าสังคม ถ้าเป็นเด็ก ๆ จะมีปัญหาเรื่องการเรียน ซึ่งพ่อแม่ควรพาเด็กไปพบจิตแพทย์

โรคซึมเศร้า คนที่เล่นอินเทอร์เน็ตมาก ๆ จะเป็นคนเหงาลึก ๆ ทั้ง ๆ ที่ดูภายนอกเหมือนมีเพื่อนเยอะ แต่จริง ๆ เขาอยู่คนเดียว เพราะถ้าวันไหนไม่เปิดคอมฯ เพื่อนโลกไซเบอร์ก็ไม่อาจรู้ได้เลยว่าเขามีตัวตนอยู่ ฉะนั้นคนที่หมกมุ่นกับโลกไซเบอร์มากเกินไป จะขาดการติดต่อกับโลกภายนอกหรือสังคมรอบข้างจนอาจพัฒนาไปเป็นโรคซึมเศร้าได้ ที่สำคัญคนพวกนี้เมื่อไม่มีทักษะการเข้าสังคมจะกลายเป็นคนไม่รู้จักเอื้อ เฟื้อเผื่อแผ่ ไม่รู้จักการให้อภัย ไม่รู้จักรอคอย ฯลฯ บางคนที่มีอาการซึมเศร้ามาก ๆ จะมีภาวะนอนไม่หลับพ่วงเข้ามาด้วย

แม้ โลกจะหมุนไวสักแค่ไหน ความไฮเทคจะมีอิทธิพลต่อเรามากเช่นไร แต่เราก็ควรใส่ใจสักนิดว่า เรากำลังวิ่งตามโลกดิจิตอลใบนี้ จนหลงลืมเรื่องสุขภาพกายและใจไปหรือเปล่า

ขาแชตทั้งหลายฟังทางนี้!

มารู้จักโรค Computer Vision Syndrome กันดีกว่า โดยเป็นโรคที่เกิดกับคนที่ใช้คอมพิวเตอร์นาน ๆ ทำให้ปวดกระดูกข้อมือ ซึ่งหากถ้านั่งผิดท่าจะมีอาการเจ็บปวดกล้ามเนื้อ และเกิดอาการปวดตา แสบตา ตามัว บางคนมีอาการปวดหัวร่วมด้วย ยิ่งถ้าจ้องคอมพิวเตอร์ติดต่อกันเป็นเวลานาน จะยิ่งพัฒนาไปสู่โรค Computer Vision Syndrome ได้

Did You Know

ผลสำรวจของฝั่งมะกันออกมาบอกว่า 10% ของคนที่เล่นอินเทอร์เน็ตมากเกินไป มีปัญหาเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวของเขา ซึ่งเด็กส่วนใหญ่จะมีปัญหาขาดเรียน เพราะมัวแต่ใช้เวลาอยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ซึ่งผู้ผลิตเกมในปัจจุบันเพิ่มฟังก์ชั่นให้เกมสามารถเล่นได้หลายคน และซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ทำให้ผู้ที่เล่นเกมหยุดเล่นไม่ได้ เพราะติดเกมอย่างงอมแงม

Must Know!

เชื่อมั้ยว่าการอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์นานเกินไปอาจพัฒนาไปสู่โรคภูมิแพ้ได้ ทั้งนี้ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน ระบุว่า สารเคมีจากจอคอมพิวเตอร์ที่ชื่อว่า Triphenyl Phosphate ก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้ได้ ซึ่งสารเคมีนี้จะมีทั้งในจอวิดีโอและจอคอมพิวเตอร์ ทำให้ผู้ใช้เกิดอาการคัดจมูก คัน ปวดหัว ยิ่งจอคอมพิวเตอร์ร้อนมากเท่าใด ก็จะยิ่งปล่อยสารเคมีดังกล่าวออกมา และถ้าเราทำงานในห้องอับ ๆ ก็จะยิ่งเป็นตัวเร่งให้เรามีปัญหาโรคภูมิแพ้ได้

ความคิดเห็นจาก นพ.ดิตถพงษ์ บุญอำพล แพทย์ศูนย์สมองและระบบประสาทโรงพยาบาลปิยะเวท

"นอกจากโรคทางกายและโรคทางใจแล้ว คนที่เล่นเกมในอินเทอร์เน็ตมาก ๆ จะเห็นว่าความรุนแรงเป็นเรื่องปกติ พอออกไปสู่สังคมก็คิดว่าเรื่องความรุนแรงเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ ประกอบกับที่ผ่านมาเขาไม่เคยสัมผัสกับคนอื่น คือเรื่องการสื่อสารระหว่างบุคคลไม่มี เวลาทำอะไรก็นึกถึงตัวเองเป็นใหญ่ คิดจะทำอะไรก็ออกมาในรูปของความก้าวร้าวรุนแรง ซึ่งถ้าคนในสังคมเริ่มมีความรุนแรงมากขึ้น ก็ถือเป็นโรคของสังคมที่รักษาได้ยากกว่าโรคของคนคนเดียว"


ที่มา http://health.kapook.com/view9838.html

เตือนแชทบีบีมาก ระวังนิ้วล็อค - บีบีวิชั่นซินโดรม



โทรศัพท์มือถือ BlackBerry

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

แพทย์ ห่วงคนรุ่นใหม่เล่นบีบีมาก เข้ารักษาอาการนิ้วล็อค ข้อมืออักเสบเพียบ หากอาการรุนแรงอาจถึงขั้นผ่าตัด เตือนเพ่งหน้าจอนาน ระวังเป็นบีบีวิชั่นซินโดรม

นพ.ธีรวัฒน์ กุลทนันทน์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีคนไข้เข้ารับการรักษาอาการนิ้วล็อค และข้อมืออักเสบเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มผู้หญิง ทั้งวัยรุ่นและวัยทำงาน เนื่องจากการพิมพ์งาน การทำกับข้าว หั่นหมู หั่นผัก และสาเหตุอื่น ๆ

แต่สาเหตุที่น่าเป็นห่วงอย่างมาก และเป็นสิ่งที่คนนิยมใช้กันในปัจจุบันนี้ก็คือ การพิมพ์ข้อความส่งผ่านกันทางโทรศัพท์ หรือการใช้บีบี ที่มีแป้นพิมพ์ขนาดเล็กและแคบ ทำให้ข้อมือวางลำบาก
หากใช้บ่อย ๆ นาน ๆ อาจส่งผลให้เกิดอาการเอ็นข้อมืออักเสบตามมา เวลากระดกนิ้วหัวแม่มือจะเจ็บ เกร็งที่นิ้วตรงข้อต่อ ทำให้ปลายนิ้วมีกระดูกปูดขึ้นมา เพราะมีหินปูนไปจับ ส่วนที่บริเวณข้อมือจะเกิดพังผืดขึ้นที่ฝ่ามือ ถ้ายิ่งใช้งานมากขึ้น พังผืดจะยิ่งหนาจนไปกดทับเส้นประสาท จะทำให้มือชา นิ้วชา เกิดอาการนิ้วล็อคตามมาได้ ทำให้เวลากำหรือเหยียดได้ลำบาก ถ้าปล่อยทิ้งไว้นาน ๆ นิ้วมืออาจจะงอ หรือเหยียดไม่ออกได้

สำหรับการรักษาอาการดังกล่าวนั้น นพ.ธีรวัฒน์ กล่าวว่า ถ้ายังใช้งานในลักษณะเดิมอยู่จะยิ่งเจ็บปวดที่มือมากขึ้น ต้องรักษาด้วยการฉีดยา หรือถึงขั้นผ่าตัด เช่นนั้นแล้ว หากใครเริ่มมีอาการดังกล่าว
ควรลดการใช้บีบีลง หรือปรับท่าการวางมือให้ถูกต้อง นอกจากนี้ ยังควรบริการมือ ด้วยการยืดเหยียดมือ ยืดนิ้วมือ ข้อมูล และประสานมือเหยียดออกไปอย่างสม่ำเสมอ เพื่อช่วยป้องกันอาการนิ้วล็อคได้ในเบื้องต้น หรือลองจุ่มมือลงในน้ำอุ่น เพื่อผ่อนคลายข้อมือ ก็จะช่วยบรรเทาอาการได้

ด้าน ฐาปนวงศ์ ตั้งอุไรวรรณ จักษุแพทย์โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า ได้กล่าวถึงผลเสียของการใช้บีบีที่มีต่อสายตาด้วยว่า
การ เล่นบีบีมากอาจทำให้เกิด "โรคบีบีวิชั่นซินโดรม" ได้ โดยจะมีอาการปวดตา เมื่อยตา เนื่องจากเพ่งตัวหนังสือที่เล็ก และนานเกินไป จะทำให้แก้วตาดำแห้ง จนมีอาการแสบ เคือง น้ำตาไหล และปวด คล้ายกับโรคคอมพิวเตอร์วิชั่นซิโดรม

ทั้ง นี้ ยังไม่มีรายงานทางการแพทย์ว่า "โรคบีบีวิชั่นซินโดรม" จะเกิดอันตรายรุนแรง โดยจะมีเพียงอาการแสบตา ปวดตา แต่เมื่อนอนพักสายตาก็หาย อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้งานบีบีควรเว้นระยะห่างหน้าจอกับสายตาให้ได้ระยะที่มองได้ชัดที่สุด และไม่ควรเล่นบีบีในที่มืด เพราะส่งผลเสียต่อสายตาได้

ที่มา http://health.kapook.com/view16825.html

มนุษย์ยุคดิจิตอล กับมหันตภัยในวันธรรมดา ๆ

คอมพิวเตอร์ นั่งทำงาน

มนุษย์ยุคดิจิตอล กับมหันตภัยในวันธรรมดา ๆ (Health plus)

เรา จะพาไปดูโรคภัย ที่คุณอาจกำลังพกพามันไปด้วยทุกหนแห่ง กับพาหะก่อโรคอย่าง MP3, IPOD, มือถือ และอีกหลายอุปกรณ์สุด HIGH ที่ใช้เพื่อความบันเทิง หรือ แม้แต่อุปกรณ์ที่เชื่อมทุกมุมโลกไว้ด้วยกัน อย่าง คอมพิวเตอร์ นอกจากมีหน้าที่อำนวยความสะดวกสบายแล้ว อาจมีของแถมเป็นโรค (ร้าย) อย่างที่คุณคาดไม่ถึง..

อุปกรณ์ที่คนยุคปัจจุบันมีติดตัว และใช้เป็นประจำในวันธรรมดา ๆ ของชีวิต ไม่เพียงแต่รูปลักษณ์ภายนอกที่ดูแปลกตาไปจากยุคที่ผ่านมา แต่ยังมีผลจากเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าล้ำยุค เพราะอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั้งหลาย ล้วนขับเคลื่อนด้วยคลื่นสัญญาณที่มองไม่เห็น แต่ส่งผลต่อร่างกายมนุษย์ หากใช้เกินความจำเป็น หรือใช้ในระยะเวลาที่ยาวนานเกินความจำเป็น

นอกจากนี้การสำรวจยังพบว่า กลุ่มคนที่ใช้คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตมากที่สุดคือ กลุ่มเด็กและวัยรุ่น โดยในกลุ่มอายุ 6-14 ปี มี อัตราการใช้คอมพิวเตอร์มากที่สุดคิดเป็นร้อยละ 61.6 ส่วนการใช้อินเทอร์เน็ตพบมากที่สุด กลุ่มอายุ 15-24 ปี คือร้อยละ 54.7 นับว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงที่หลาย ๆ คนควรให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง

เรามาดูผลกระทบที่มาจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั้งหลายดีกว่า?

โทรศัพท์มือถือ

อุปกรณ์ สื่อสารที่ผลการวิจัยพบว่า มีผู้ใช้เพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัว ผู้ใช้มักมีพฤติกรรมการใช้แนบหูผู้ใช้กับเครื่องอยู่ตลอดช่วงเวลาของการใช้ งาน ทำให้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่เกิดจากการรับ-ส่งสัญญาณของระบบมือถือกระทบอวัยวะโดยตรง ทั้งบริเวณหู ตาและเข้าไปถึงสมอง

ผลกระทบในระยะสั้น-อาจเกิดอาการปวดหู ปวดศีรษะ ตาพร่ามัว ขาดสมาธิและเครียด เนื่องจากระบบพลังงานในร่างกายถูกรบกวน

ผลกระทบในระยะยาว-อาจทำให้เกิดโรคความจำเสื่อม มะเร็งในสมอง มะเร็งเม็ดเลือดขาว นอกจากนี้ผลจากการศึกษา พบว่า เนื้องอกในสมองมีความสัมพันธ์กับการใช้โทรศัพท์มือถือ เพราะเนื้องอกในสมองมักจะเป็นข้างเดียวกับข้างที่ใช้ฟัง-พูดโทรศัพท์มือถือ เป็นประจำ

เครื่องเล่น MP3, IPOD และหูฟังของโทรศัพท์มือถือ

ดูเป็นอุปกรณ์ เพื่อความบันเทิงที่เริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้น โดยข้อมูลสรุปสภาวะสังคม จากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พบว่า การเป็นโรคหูเสื่อม หรือหูดับ สาเหตุมาจากากรนิยมฟังเพลงโดยใช้หูฟังจากเครื่องเล่น MP 3 หรือ i-Pod รวมถึงการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เสียงดังมาก

คอมพิวเตอร์

อุปกรณ์ที่รวมทุกการสื่อสารไว้แค่ปลายนิ้ว แต่ผลจากการใช้งานเป็นระยะเวลานานเกินกว่า 6 ชั่วโมงต่อวัน อาจส่งผลกระทบทางด้านสายตา จะทำให้ตาขาดน้ำหล่อเลี้ยงจนเกิดอาการระคายเคืองได้ มีอาการตาพร่า และมองไม่เห็นชั่วคราว ปวดคอ หลังและไหล่ บางรายอาจมีอาการท้องร่วงเพราะคีย์บอร์ด (Qwety Tummy) สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการท้องร่วง คือคีย์บอร์ดมักมีแบคทีเรียสะสมอยู่ หลายคนมักรับประทานอาหารหน้าจอคอมพิวเตอร์ ที่มีคีย์บอร์ดตั้งอยู่ แบคทีเรียเหล่านี้อาจปะปนมากับอาหารได้

มนุษย์ ออฟฟิศจนถึงผู้ใช้คอมพิวเตอร์ควรระมัดระวังอาการ Carpal Tunnel Syndrome ที่เกิดจากการใช้งานซ้ำ ๆ บริเวณข้อมือ ทำให้เอ็นรอบบริเวณข้อมือหนาตัวขึ้น แล้วไปกดทับเส้นประสาทที่วิ่งผ่าน ทำให้เกิดอาการชาและเจ็บได้

ที่มา http://health.kapook.com/view9523.html

พอกหน้าด้วยไข่ขาว สำหรับสาวหน้ามัน

ผิวสวย



พอกหน้าด้วยไข่ขาว สำหรับสาวหน้ามัน (คู่หูเดินทาง)

หยุดกังวลกับความมันส่วนเกิน ลองใช้สูตรสวยประหยัดสูตรนี้ดู...

นำ ไข่ขาวมาผสมกับนมสด อย่างละ 1 ช้อนชา คนให้เข้ากัน จากนั้นหยดน้ำผึ้งและมะนาวใส่ผสมลงไป อย่างละ 2 - 3 หยด นำมาทาให้ทั่วใบหน้า ปล่อยทิ้งไว้ให้แห้งและล้างออกให้สะอาดด้วยน้ำอุ่น

ไข่ขาวจะช่วยดูดซับสิ่งสกปรกออกจากใบหน้าได้เป็นอย่างดี แถมยังทำให้ใบหน้าเนียนนุ่มอีกด้วย


ที่มา http://women.kapook.com/view17009.html

วิธีลดต้นขา สำหรับคุณสาว ๆ

เรียวขา



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

หนึ่ง ในปัญหาที่คุณสาว ๆ มักจะกลุ้มอกกลุ้มใจเสียเหลือเกิน ก็คือปัญหา "ต้นขาใหญ่" ใช่มั้ยล่ะ แม้คุณสาว ๆ หลายคนออกจะผอมเพรียว ก็ยังมิวายเจอกับปัญหานี้ วันนี้กระปุกดอทคอม จึงขอรวบรวมสารพัดท่าบริหารต้นขา วิธีลดต้นขา มานำเสนอคุณสาว ๆ ให้ลองไปใช้ลดต้นขากันดูค่ะ

วิธีลดต้นขา ท่าที่ 1

ต้องใช้เวท น้ำหนัก 1 กิโลกรัม เป็นตัวช่วยด้วยค่ะ ให้นอนลงกับพื้นแล้วผูกเวทติดไว้ที่ขา แล้วยกขาให้สูงขึ้นจากพื้น 45 องศา อย่างช้า ๆ นับ 1-5 แล้ววางลง จนเมื่อร่างกายเริ่มชินกับน้ำหนักของเวท ให้ยกขาขึ้นลงด้วยความเร็วมากขึ้น

โดยท่าลดต้นขานี้ควรทำทีละข้าง ครั้งละ 3 เซต เซตละ 10 ครั้ง หมั่นทำบ่อย ๆ อาทิตย์ละ 2-3 ครั้งค่ะ เมื่อทำจนชำนาญแล้ว ก็อาจจะยกขาให้สูงขึ้นกว่าเดิมได้

วิธีลดต้นขา ท่าที่ 2

ท่านี้จะเป็นการบริหารต้นขาด้านหน้าได้อย่างดีเลยล่ะ โดยให้คุณสาว ๆ นอนหงาย แล้วสอดมือทั้ง 2 ข้างรองก้นไว้ งอเข่าซ้ายขึ้นมาเข้าหาอก แล้วยก-เหยียดขาขวาขึ้นข้างบนอย่างช้า ๆ เมื่อเหยียดขาขวาจนสุดแล้ว ให้ค้างอยู่ในท่านั้นสักครู่ เพื่อให้เกิดความรู้สึกตึงที่ต้นขาด้านหน้า และด้านหลังของลำขา

จากนั้นกลับสู่ท่าเริ่มต้น โดยเปลี่ยนเป็นงอเข่าขวาเข้าหาอก แล้วเหยียดขาซ้ายยกขึ้นสูงแทน ทำ 3 เซ็ต เซ็ตละ 10-15 ครั้ง ต่อวัน และควรทำเป็นประจำ 3-5 วันต่อสัปดาห์ค่ะ

วิธีลดต้นขา ท่าที่ 3

ท่านี้เป็นวิธีลดต้นขาด้านในค่ะ เริ่มจากการนอนราบลงบนพื้น ไขว้ข้อเท้าไว้ด้วยกัน จากนั้นพยายามงอเข่าให้เข้ามาชิดตัวให้มากที่สุด โดยที่ข้อเท้ายังไขว้กันอยู่ จากนั้นก็ยืดขาออก คลายเท้าทั้งสองออกจากกัน แล้วกลับสู่ท่าเริ่มต้น ทำประมาณ 24 ครั้งต่อวัน จะช่วยให้ต้นขาด้านในดูเล็กลงได้ทีเดียวล่ะ

วิธีลดต้นขา ท่าที่ 4

ท่านี้อิมพอร์ตมาจากประเทศญี่ปุ่นค่ะ โดยให้คุณสาว ๆ อยู่ในท่ายืน ยกขาข้างหนึ่งไปข้างหน้า ปลายเท้าชี้ขึ้นฟ้า จากนั้นค่อย ๆ ลากขามากข้างหน้า ไขว้ไปที่ขาอีกข้างแล้วค้างไว้นานประมาณ 20 วินาที จากนั้นสลับมาทำอีกข้าง จะช่วยให้ต้นขาเล็กลงได้อย่างไม่น่าเชื่อ แถมท่านี้ยังทำได้ง่าย ๆ แม้คุณจะยืนทำอะไรอยู่ก็ตาม

วิธีลดต้นขา ท่าที่ 5

เป็นวิธีง่าย ๆ จากประเทศญี่ปุ่นเช่นกันค่ะ เพียงแค่เวลาที่คุณนั่ง ไม่ว่าจะนั่งทำงาน นั่งอ่านหนังสือ นั่งดูทีวี ฯลฯ ให้นำสมุดโทรศัพท์เล่มหนา หรือหนังสืออะไรก็ได้ที่หนา ๆ ไม่ต่ำกว่า 5 เซนติเมตร มาหนีบไว้ที่ระหว่างขาให้แน่น ๆ จนเมื่อย ทนไม่ไหวก็ให้คลายสักครู่ แล้วทำต่อค่ะ ความเมื่อยที่คุณรู้สึกได้ จะช่วยลดต้นขาได้ดีเลยล่ะ


วิธีลดต้นขา

วิธีลดต้นขา ด้วยการหนีบหนังสือหนา ๆ ไว้ที่หว่างขา


นอกจากนี้ ถ้าใครอยากจะลดช่วงน่องด้วย ก็ลองเกร็งขาแล้วยกขาให้ลอยเหนือพื้น ขณะที่ยังหนีบหนังสือหนา ๆ ไว้อยู่นั่นแหละค่ะ ค้างไว้ท่านั้นประมาณ 20 วินาที หรือจนกว่าจะทนไม่ไหวเช่นกันก็พักได้สักครู่ แล้วยกค้างไว้ต่อ ทำประมาณ 10 ครั้งบ่อย ๆ จะช่วยลดต้นขากับน่องได้ด้วย

วิธีลดต้นขา ท่าที่ 6

ท่าบริหารนี้นำเอาหลาย ๆ ท่ามารวมกันค่ะ โดยเริ่มจากการนอนหงายกับพื้น ยกขาทั้งสองขึ้นเหยียดตรง ค้างไว้ 2 นาที จากนั้นแยกขาออกจากกัน แล้วหุบขาชิด ทำกลับไปมาอีก 20 ครั้ง จากนั้นปั่นจักรยานกลางอากาศต่อ พยายามทำให้เร็ว และให้มากครั้งที่สุด ก่อนจะเปลี่ยนท่ามานั่งกับพื้น เหยียดขาให้ตรง แล้วตีขาไปมากับพื้นอีก 100 ครั้ง

วิธีลดต้นขา ท่าที่ 7

นั่งคุกเข่าลงกับพื้น โน้มตัวมาข้างหน้า วางมือทั้ง 2 ข้างบนพื้นแขนเหยียดตรง ให้ไหล่ เข่า มืออยู่ในแนวเดียวกัน (เป็นท่าหมอบ 4 ขา) ยืดหลังตรง จากนั้นค่อย ๆ ยกขาขึ้นให้หัวเข่าตั้งเป็น 90 องศากับลำตัว วางลงแล้วทำใหม่ ข้างละ 10-12 ครั้ง 3 เซต จะช่วยกระชับต้นขาด้านนอกได้อย่างดี

วิธีลดต้นขา ท่าที่ 8

ขอเอาใจคนรักการว่ายน้ำบ้าง เพราะวิธีลดต้นขานี้สามารถทำได้ในน้ำค่ะ ง่าย ๆ เลยก็คือ ให้ใช้แขนทั้งสองข้างจับขอบสระ คว่ำหน้า ยืดขาเหยียดให้ลอยตัวพร้อมกับตีขาไปจนเมื่อย แล้วพักสักครู่ก่อนจะตีขาต่อ ทำประมาณ 10-15 ครั้งค่ะ

นอกจากนี้ ยังมีอีกหนึ่งท่า ก็คือ ให้ยืนในน้ำ หันข้างให้ขอบสระ มือหนึ่งจับขอบสระไว้ อีกมือหนึ่งเท้าเอวไว้ เหยียดขาให้ตรง แล้วเหวี่ยงขาข้างเดียวกับที่เท้าเอวไปข้างหน้า แล้วเหวี่ยงกลับ ทำทั้งหมด 20 ครั้ง แล้วสลับมาทำอีกข้างหนึ่งอีก 20 ครั้ง ทำซ้ำจนครบ 10-15 ครั้ง จะช่วยบริหารต้นขาได้เยี่ยมเลยล่ะ

ที่มา http://health.kapook.com/view9476.html

กทช. ยื่นอุทธรณ์ระงับประมูล 3 จี ต่อศาลปกครองสูงสุดแล้ว

3 จี

สรุปประเด็นข่าวโดยกระปุกดอทคอม

ศาล สั่งคุ้มครองชั่วคราว ประมูล 3 จี กรณี กสท.ฟ้อง กทช. ไม่มีอำนาจเปิดประมูลตามรัฐธรรมนูญ ด้าน ทีโอที เอาด้วย ยื่นฟ้อง กทช.อีกรายวันนี้

เมื่อวันที่ 16 ก.ย.53 ศาลปกครองกลางได้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวการประมูลใบอนุญาต 3 จี กรณี บริษัท กสท โทรคมนาคม ได้ยื่นฟ้อง กทช. เหตุไม่มีอำนาจเปิดประมูลตามรัฐธรรมนูญ
ซึ่งหลังจากมีคำสั่งดังกล่าว จะมีผลทำให้การจัดประมูล 3 จี ต้องยุติลงในทันที โดย ทาง กทช.เตรียมเข้ายื่นอุทธรรณ์ต่อศาลปกครองในวันนี้ (17 ก.ย.) และหากศาลรับคำยื่นอุทธรณ์ ก็จะสามารถเดินหน้าโครงการประมูลใบอนุญาต 3 จี ได้ต่อไป

ทั้งนี้ พ.อ. ดร.นที ศุกลรัตน์ กรรมการ กทช. กล่าวว่า กทช.กำลังต่อสู้เพื่อประโยชน์ของสาธารณะและคนไทย เพื่อให้ได้รับบริการใหม่ แต่คนฟ้องหรือ กสท.ทำเพื่อปกป้องประโยขน์องค์กร โดยวันนี้ กทช.จะมีการหารือกัน หลังจากศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการแจ้งระงับประมูล 3จี แต่ก็ต้องเคารพคำสั่งศาล หากถึงเวลาประมูลแล้วศาลยังไม่มีคำสั่งเป็นอื่น

ด้าน นางศริญญา ไชยประเสริฐ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วยทีมงานฝ่ายกฎหมาย ก็ได้เดินทางมายื่นหนังสือคำร้องต่อศาลปกครองกลาง ให้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ให้คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กทช. เพิกถอนประกาศ เรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการเปิดประมูลใบอนุญาต 3G
เนื่อง จากเห็นว่า กทช. ไม่มีอำนาจ เพราะต้องรอคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม แห่งชาติ หรือ กสทช. ตามรัฐธรรมนูญ ปี 2550 ที่ยังไม่เกิดขึ้น

โดย ทีโอที ยืนยันว่า ไม่มีเจตนาที่จะขัดขวางการเปิดประมูล 3G เพียงแต่เห็นว่ากระบวนการไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งหากดำเนินการต่อไป จะเกิดผลเสียต่อทีโอทีหลายหมื่นล้านบาท ซึ่งทาง ทีโอที มั่นใจว่า คดีความจะออกมาในลักษณะเดียวกับที่ บริษัท กสท โทรคมนาคม ได้ยื่นฟ้อง เนื่องจากเป็นการฟ้องในลักษณะเดียวกัน

ล่า สุดวันนี้ (17 ก.ย.) พ.อ.นที ศุกลรัตน์ ประธานกรรมการคณะกรรมการเพื่อการอนุญาตประกอบกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G พร้อมทีมกฎหมาย ได้เดินทางไปเข้ายื่นคำร้องต่อศาลปกครองสูงสุดขออุทธรณ์คำสั่งศาลปกครองชั้น ต้น กรณีระงับประมูล 3G เพื่อขอทุเลาการบังคับตามคำสั่งกำหนดมาตรการ และวิธีการคุ้มครองเพื่อบรรเทาทุกข์ชั่วคราว ก่อนพิพากษาและขอไต่สวนฉุกเฉินต่อศาลปกครองสูงสุด

โดย พ.อ.นที ระบุว่าการอุทธรณ์ของกทช. เป็นการชี้แจงให้ศาลเห็นว่าการดำเนินการของกทช. เป็นไปเพื่อประโยชน์ของสาธารณชน ขณะที่คำฟ้องของ กสท โทรคมนาคม เป็นการดำเนินการเพื่อรักษาผลประโยชน์ขององค์กร อย่างไรก็ตามขั้นตอนต่อจากนี้ จะต้องรอคำสั่งศาลว่าจะรับคำอุทธรณ์หรือไม่
ที่มาhttp://hilight.kapook.com/view/52092

ผู้จัดอ้างไม่รู้ เก่ง เมธัส ทำอะไรไว้ วอนให้โอกาส

 เก่ง เมธัส

เก่ง เมธัส สวนศรี



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

กลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันอีกครั้ง สำหรับ เก่ง - เมธัส สวนศรี ดารา นักแสดงที่เคยเป็นข่าวฉาวมาก่อนหน้านี้ หลังเขามีชื่อได้รับรางวัลระฆังทองบุคคลแห่งปี ครั้งที่ 3

หลาย คนเห็นชื่อ เก่ง - เมธัส สวนศรี เป็นหนึ่งในบุคคลที่รับรางวัลแล้วก็อดไม่ได้ที่จะแสดงความคิดเห็นว่า โอ้ว! เป็นไปได้ยังไงในเมื่อดาราคนนี้มีคดีอื้อฉาวเพียบ! เพราะขณะที่ เก่ง เมธัส ยังยอมรับว่า ไม่น่าเชื่อเช่นกันว่าตัวเองจะได้รับรางวัลนี้ รู้สึกแปลกใจเพราะก่อนหน้านี้ก็มีข่าวฉาวตลอด แต่ก็ดีใจที่ยังมีคนเห็นตัวตนและความดี แหม... ขนาดเจ้าตัวยังแปลกใจแล้วไยประชาชนจะไม่สงสัย งานนี้จึงทำให้หลายคนโพสต์ข้อความในอินเทอร์เน็ตฝากถามถึง ผู้เสนอชื่อ ทั้งผู้พิจารณา ว่าใช้เกณฑ์อะไรมาวัดหรือตัดสินในการรับรางวัลในครั้งนี้? หรือว่ารางวัลมอบให้เพื่อต้องการให้ เก่ง เมธัส กลับใจ?

อย่างไรก็ตาม เกี่ยวกับเรื่องนี้ นายอำนาจ หมัดสดาย ผู้จัดงานมอบรางวัลเกียรติยศระฆังทอง กล่าวว่า บุคคลที่ได้รับรางวัลระฆังทองทั้งหมดทางคณะกรรมการหลายฝ่ายร่วมเสนอและ พิจารณา ซึ่งเรื่องนี้ตนไม่มีส่วนร่วมตั้งแต่ตน ส่วนกรณี เก่ง เมธัส ตนก็ไม่รู้ว่าเขาเคยมีข่าวฉาว หรือเป็นใครมาก่อน ถ้าเป็นข่าวฉาวแต่กลับใจ สังคมก็ควรให้โอกาส และไม่หวั่นกับกระแสวิจารณ์เรื่องการไม่สมควรได้รับรางวัลของ เก่ง เมธัส

"ปกติ รางวัลนี้ให้หลายภาคส่วนของสังคม อาทิ นักการเมือง นักธุรกิจ พระสงฆ์ ทุกคนไม่มีใครที่ดีหมดทุกอย่าง และไม่มีใครไม่ดีทุกอย่าง แตกต่างกันไปมากน้อย เราก็มองกันที่ส่วนดีที่เป็นแบบอย่าง ส่วนไม่ดีก็ไม่เอามาพูดกัน ไม่ได้เอาส่วนที่เขาเป็นปัญหามาพิจารณา" นายอำนาจ กล่าว

สำหรับรางวัลระฆังทองบุคคลแห่งปี ครั้งที่ 3 ประจำปีพุทธศักราช 2553 จัดโดย สมัชชานักจัดรายการข่าววิทยุโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย (สว.นท.) ซึ่งมอบให้แก่ศิลปิน ดารา นักแสดง และคนมีชื่อเสียงทั่วประเทศ ซึ่งงานนี้ได้มีการอัญเชิญ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ กรุงเทพฯ เป็นองค์ประธานประทาน โดยมีพล.อ.อ.กำธน สินธุวานนท์ องคมนตรี เป็นประธานมอบรับรางวัลเกียรติยศ ขณะที่พลเอก สิทธิ์ สิทธิมงคล ประธานอำนวยการ, มี นายอำนาจ หมัดสดาย เป็นประธานสมัชชา ฯ โดยมีการมอบรางวัล ณ ห้องประชุมกรมประชาสัมพันธ์ ถนนพระราม 6 เขตพญาไท กรุงเทพฯ เมื่อวันอังคารที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2553


ที่มา http://women.kapook.com/view16943.html

วันศุกร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2553

สูตรพอกหน้าด้วยกล้วย สำหรับสาวผิวแห้ง

กล้วย

สำหรับสาวๆ women mthai ที่มีผิวแห้งเวลาล้างหน้าเสร็จจะรู้สึกว่าหน้าตึงมาก ผิวแห้งเป็นผิวที่ต้องการความชุ่มชื้นอย่างมาก และมักจะมีปัญหาหน้าเป็นขุย ลองใช้สูตรนี้ดูซิจ๊ะ

ส่วนผสม

ไข่แดง

โยเกิร์ต

กล้วยสุก

วิธีทำ

นำไข่แดงผสมกับโยเกิร์ตอย่างละ 1 ช้อนชาผสมโดยปั่นให้เข้ากัน จากนั้นใส่กล้วยบดลงในส่วนผสม เสร็จแล้ว พอกหน้าทิ้งไว้ 10-15 นาที พอกหน้าโดยทาเบาๆเป็นวงกลมให้ทั่วหน้า พยายามทาไม่ให้โดนบริเวณรอบดวงตาเพราะเป็นส่วนที่บอบบาง จากนั้นล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นเพื่อขยายรูขุมขน แล้วล้างด้วยน้ำเย็นอีกครั้งเพื่อกระชับผิวหน้า


ที่มา http://women.mthai.com/views_Beauty-Tip-Trick_11_44_42139_1.women



6 ท่าโยคะ กระชับใบหน้า

คง ไม่มีใครยอมให้ร่องรอยมาเยือนใบหน้ากันง่ายๆ เพราะความสวยความงามเป็นเรื่องที่ผู้หญิงเราใส่ใจอยู่มิใช่น้อย ดังนั้น ถ้าไม่อยากให้รอยตีนกาเรียกว่าพี่ ต้องหาทางป้องกันไว้ก่อนดีกว่า และสิ่งที่ทําได้ง่ายๆ ได้ทุกที่ ทุกเวลา แล้วก็ไม่ต้องใช้อุปกรณ์ใดๆ ก็คือ การทําโยคะใบหน้า ซึ่งเป็นการออกกําลังกายเฉพาะส่วนค่ะ


ท่าที่ 1 ท่ากลางหน้าผาก
ให้วางนิ้วชี้ไว้ที่โคนผมกลางหน้าผาก นิ้วนาง วางบนหว่างคิ้วตรึงผิวไว้ แล้วหายใจเข้า ตามองต่ำ เพื่อเลี่ยงการใช้กล้ามเนื้อรอบดวงตา ใช้นิ้วกลางกดน้ำหนักบนกล้ามเนื้อ ลูบจากบนลงล่างช้าๆ แล้วหายใจออก จากนั้นเลื่อนมือออกด้านข้าง เพื่อยืดกล้ามเนื้อซ้ายและขวา

ท่าที่ 2 ท่ากล้ามเนื้อระหว่างคิ้ว
ใช้นิ้วกลางหรือนิ้วชี้ วางที่หว่างคิ้ว และกดไล่ออกจนถึงกึ่งกลางคิ้ว

ท่าที่ 3 ท่ากล้ามเนื้อจมูก
ท่าแรกใช้นิ้วลูบสันจมูกจากบนลงล่าง ท่าสองใช้นิ้วลูบจากดั้งจมูกออกไปทางโหนกแก้ม


ท่าที่ 4 ท่ากล้ามเนื้อรอบดวงตา
ใช้นิ้วลูบรอบดวงตา ทั้งด้านบนและด้านล่าง

ท่าที่ 5 ท่ากล้ามเนื้อรอบริมฝีปาก
ใช้นิ้วมือซ้าย กดที่มุมปากด้านขวาเพื่อตรึงผิว ใช้มือขวากดและลูบออกไปใน 4 ทิศทาง ท่าละ 3-5 ครั้ง ได้แก่ เฉียงขึ้นบนไปทางไรผม ด้านข้างตรงไปถึงติ่งหู เฉียงลงทางขากรรไกร และลงมา ที่ปลายคาง โดยทําทั้ง 2 ข้าง

ท่าที่ 6 ท่ากล้ามเนื้อคอ
ใช้ 2 มือ กดบริเวณไหปลาร้า แล้วยืดลําคอขึ้นใน 3 ทิศทาง คือ ตรงเหมือนแหงนหน้าขึ้น ยืดซ้าย และยืดขวา

หลังยืดกล้ามเนื้อ
เข้าสู่การออกกําลังกล้ามเนื้อ เต็มที่ โดยย่นหน้าผาก หลับตาปี๋ ยิ้มให้กล้ามเนื้อที่แก้มทํางาน ปฏิบัติท่าละ 3 ครั้ง เมื่อเสร็จแล้วปิดท้ายด้วยการยืดกล้ามเนื้ออีกครั้ง

ตัวช่วยขณะทําโยคะใบหน้า
ควรนอนทําโยคะใบหน้าช่วงเช้า หรือก่อนนอน แล้วถ้าอยากช่วยให้ใบหน้าสวยเด้งอีกแรงหนึ่ง ก็ควรฝึกแสดงอารมณ์ทางสีหน้าที่ไม่ใช้กล้ามเนื้อมากเกินไป เช่น การยิ้ม ควรใช้กล้ามเนื้อ รอบริมฝีปาก และใช้กล้ามเนื้อแก้มออกแรงเล็กน้อยเพื่อยกมุมปากขึ้น อย่ายิ้ม นานเกินไป เพราะจะทําให้กล้ามเนื้อล้าเกิดริ้วรอยลามไปถึงรอบดวงตาได้ง่ายด้วยค่ะ

ที่่่มา http://women.mthai.com/views_Beauty-Tip-Trick_11_44_42051_1.women